วันอาทิตย์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

เข็ดขี้แตกแสวงบุญเขาคิชฌกูฏ



เรื่องที่จะเขียนต่อไปนี้ มิได้มีเจตนาที่จะขัดแย้ง ทำลาย หรือแม้แต่ต้องการจะให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆกับพิธีกรรมต่างๆที่ชาวพุทธปฏิบัติบูชากันมายาวนาน
            ตั้งใจแค่จะเล่าประสบการณ์ส่วนตัวในการไปแสวงบุญวันพระใหญ่ประจำปี “มาฆะบูชา” ที่เขาคิชฌกูฏแลกเปลี่ยนสู่กันฟังเท่านั้นเอง
          ทำไมต้องเป็นเขาคิชฌกูฏ?...นั่นน่ะสิ
            ไม่ได้มีเหตุผลพิสดารอันใดเลย เป้าหมายปลายทางนี้มาจากข้อสงสัยล้วนๆว่าทำไมใครๆเขาถึงอยากไปทำบุญที่เขาคิชฌกูฏกันนักหนา
ถึงขนาดพูดกันว่า...สักครั้งหนึ่งในชีวิตชาวพุทธควรจะปีนขึ้นไปสักการะรอยพระพุทธบาทบนยอดเขาแห่งนี้ให้ได้
และด้วยความยากลำบากในการขึ้นเขานี่เองเมื่อทำได้สำเร็จบุญกุศลนี้ก็จะยิ่งใหญ่มหาศาล พอๆกับการเดินทางไปแสวงบุญ ณ สังเวชนียสถานนั่นเลยทีเดียว
แถมยังเล่าลือกันปากต่อปากว่าพรใดก็ตามที่ร้องขอจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์บนเขาคิชฌกูฏมักจะได้สมหวังดังปรารถนาทุกประการ
แบบนี้มันกระตุ้นกิเลสฝ่ายต่ำของมนุษย์ดีนักแล....ใครหน้าไหนก็อยากได้อะไรง่ายๆฟรีๆทั้งนั้นแหละค่ะ
            นอกจากความอยากรู้อยากเห็นแล้วยังมีสิ่งกระตุ้นมาจากปัจจัยพิเศษว่า ช่วงเวลาขึ้นเขาในแต่ละรอบปีนั้นมีเพียงไม่กี่วัน(2 เดือน นับตั้งแต่วันขึ้น 1 ค่ำเดือน 3 จนถึงแรม 15 ค่ำ เดือน 4) ถ้าหากพ้นช่วงนี้ไปแล้วห้ามขึ้น ต้องคอยไปอีกข้ามปี เพราะเวลาที่เหลือเก็บเอาไว้สำหรับให้คณะสงฆ์ขึ้นไปปฏิบัติธรรม
            นี่คือสิ่งที่ได้รู้ได้ยินมา เท็จจริงมากกว่านี้มีอะไรบ้างไม่อาจทราบได้...
            เอาเป็นว่าฉันรอมาตลอดชีวิตก็เพิ่งมีโอกาสไปหนนี้แหละ โดยมีพี่สาวแสนรักสองคนกรุยทาง วิธีสะดวกที่สุดของพวกเราก็คือไปทัวร์ทำบุญกับขสมก.ที่กำลังโด่งดังมากจนถูกกลุ่มบริษัทนำเที่ยวเอาไปฟ้องร้องกล่าวหาว่าแย่งนักท่องเที่ยวโดยไม่มีใบอนุญาต ตอนนี้ดูเหมือนเรื่องจะยังคาราคาซังกันอยู่


            ต้องยอมรับว่าไปเขาคิชฌกูฏกับขสมก.นี่แหละสะดวกสบายที่สุดแล้ว เพราะเขาจัดการทุกอย่างให้เบ็ดเสร็จ พอขึ้นรถได้เจ้าหน้าที่ก็เอาเศษสตางค์มาให้แลกเป็นแบงก์ย่อยสำหรับหยอดตู้ทำบุญได้สะดวก พร้อมกับแนะนำทุกขั้นตอนขบวนการว่าจะต้องทำอะไรยังไงบ้าง
            เรียกได้ว่าเป็นการจัดการที่สอดรับกับแนวทาง “พุทธพาณิชย์” ของวัดส่วนใหญ่ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในทางฤทธิ์เดชของขลังในเมืองไทย ชนิดจัดเต็มไม่มียั้ง
            ซึ่งเป็นสิ่งที่ฉันปฏิเสธมาตลอด แต่คราวนี้ไม่มีทางเลือกจริงๆ
            จุดรวมพลขึ้นเขาอยู่ที่วัดกระทิงของหลวงพ่อเขียน ซึ่งถือเป็นจุดทำบุญไฟต์บังคับที่ลูกทัวร์ต้องถวายผ้าป่าทำบุญที่นี่ด้วย โดยทาง ขสมก.อำนวยความสะดวกจัดหารถกระบะขับเคลื่อนสี่ล้อมาบริการขึ้นเขาตั้งแต่จุดนี้ทั้งไปและกลับรวดเดียวเลย โดยไม่ต้องลงต่อรถเหมือนนักแสวงบุญทั่วไปที่รอขึ้นรถตรงวัดพลวงซึ่งต้องเปลี่ยนรถสองขยัก
แต่ค่าความสะดวกนี้จ่ายเพิ่มอีกหน่อย รวมทั้งหมดไปกลับ 200 บาท ขณะที่สองแถวหน้าวัดพลวงสองต่อได้ยินมาว่าคนละ 100 บาท
วันนั้นนักแสวงบุญ ขสมก.มีหลายร้อยชีวิต เพราะไปกันตั้ง 10 คันรถ แต่ต้องชื่นชมว่าจัดการได้แบบมืออาชีพจริงๆ ไม่มีอะไรติดขัดให้หงุดหงิดรำคาญใจกัน มีแต่ขาลงจากเขาเท่านั้นแหละที่รอรถกันนานหน่อย เพราะฝนเกิดเทลงมาห่าใหญ่ เปียกปอนกันไปหลายคน
....
เอาล่ะมาถึงเวลาสุดเสียวกันแล้ว
ไฮไลต์ของการเดินทางขึ้นไปบูชารอยพระพุทธบาทนี้อยู่ที่ “การเดินทาง”บนรถสองแถวที่จะเรียกว่า “เหาะ” ขึ้นลงเขาก็ได้
อันที่จริงก่อนหน้าจะเดินทางไม่กี่วัน จรินยา ศักดิ์สิริ น้องนักข่าวนักเขียนคนหนึ่งก็เพิ่งเขียนเล่าประสบการณ์สยองในการเหาะขึ้นเขาของเธอให้ฟังบนเฟซบุ๊ค ดังนี้
...
“ถนนสูงชัน เลี้ยวหักศอก รถธรรมดาอย่าได้บังอาจ พวกขับ 4WD ขั้นเทพก็กากได้ ถ้ามาเจอถนนขึ้นเขาที่นี่ เพราะเค้าสวนกันสลับเลน รถเลี้ยวมุมเขามาป๊ะหน้ากันป๊าบ! โอย... กรูหัวใจจะวาย มันจะหลบกันงัยหว่า แทนที่คันเราขึ้นเขาจะหักหลบซ้ายดันหลบขวา ไอ้คันลงก็รู้มุมกัน หักหลบไปอีกทางแบบที่ลูกช้างเดาใจมันไม่ออก
มันหักซ้ายหักขวาเหวี่ยงเราไปทางโน้นทางนี้ไม่มีนิ่ง ต้องจับราวรถไว้ให้แน่น มิฉะนั้นเราจะถูกเหวี่ยงลงไปจากรถโดยที่ไอ้คนขับมันไม่หยุดมอง เพราะมันเบรคไม่ได้ มันต้องใช้แรงม้าขึ้นๆๆๆๆๆ อย่างเดียว มันใช้น้ำหนักพวกเราหลังรถนี่แหละ อัดให้รถเหวี่ยงขึ้นเขา คุณพระคุณเจ้า เจ้าป่าเจ้าเขา ลูกช้างใจหล่นโครม! ลงไปอยู่ตาตุ่ม เสียวท้องวาบๆๆๆ ไวกิ้งมหาสนุกชิดซ้ายไปเลย...”
...

เป็นไงล่ะ สยองไหม?
ฉันพยายามโทรศัพท์จะยกเลิกการเดินทาง แต่คนที่จองตั๋วไว้แล้วไม่ย๊อม ไม่ยอม...เอาก็เอา(วะ)
แล้วในที่สุดฝันร้ายก็เป็นจริง แถมยังโชคร้ายได้นั่งเกาะรถเป็นคนท้ายสุดในเบาะหลังที่ทำเป็นสองแถวให้นั่งแถวละ 4 คน ส่วนด้านหน้าที่ใครๆก็แย่งชิงจะไปนั่งกันให้ได้นั้นเบียดกันไปเถอะ 4 คน ในกระบะแบบแค็บสองประตู
เรื่องสุดเสียวเสียวสุดของฉันจึงไม่ใช่แค่วิธีการขับรถแบบใช้เกียร์เดียวไม่มีเบรคไม่มีหยุดชะงักเท่านั้น แต่การที่ต้องนั่งในกระบะท้ายรถที่ไม่มีหลังคาไม่มีราวเหล็กกั้นด้านท้ายรถป้องกันอันตรายใดๆเลยนั้น ถือว่าเป็นความเสี่ยงบัดซบของตัวเอง
ระหว่างนั่งเบียดบั้นท้ายอยู่กับฝากระโปรงหลังที่มีท่อสแตนเลสทำเป็นราวจับสูงขึ้นมาแค่ 10 เซ็นต์ฯ ฉันก็เลยต้องนั่งภาวนาตลอดทาง...
ตรูจะรอดไหมนี่ๆๆๆ ...
และก็ต้องนั่งเอียงตัวเอวเคล็ดเพื่อให้มือขวาเกาะราวด้านข้างไว้แน่นๆส่วนมือซ้ายเกาะราวท้ายรถ
จากนั้นการผจญภัยก็เริ่มต้นเมื่อถึงทางขึ้นเขา เรากระเด้งกระดอนไปตามคำบรรยายที่น้องเขาเขียนเล่าเอาไว้ไม่มีผิด
ตอนที่รถเหินไปข้างหน้าและก้นถูกเหวี่ยงจะหลุดจากเบาะอยู่เรื่อยนั้นไม่มีอะไรจะปลดปล่อยความกลัวได้เท่ากับเสียงร้อง “โอ๊ย โอ๊ย โอ๊ย” สลับกับเสียงหัวเราะเยาะสมเพชเวทนาตัวเอง
ทุกครั้งที่ลืมตาขึ้นมองก็จะเห็นรถเหวี่ยงอ้อมโค้งซ้ายขวาสลับไปมากันอุตลุต และห้ามหันไปมองข้างหลังเด็ดขาดนะ ไม่เช่นนั้นความสูงชันจะทำให้หัวใจวายตายกันง่ายๆ
กลัวที่สุดคือก้นหลุดจากกระบะหลังลงไปนอนแอ้งแม้งข้างทาง เพราะเขาประกาศกันก่อนขึ้นรถหลายรอบว่าอะไรก็ตามที่ตกจากรถจะไม่มีการลงไปเก็บเด็ดขาด เพราะรถหยุดไม่ได้ ต้องลุยไปข้างหน้าอย่างเดียว

“แต่ไม่ต้องกลัวนะ ตั้งแต่ใช้สองแถวขนคนขึ้นเขามายังไม่เคยมีใครเป็นศพซักคน”  

พี่คนทำหน้าที่ซื้อตั๋วขาประจำทัวร์ขสมก.พูดเสียงเรียบๆหน้าตาเฉย
โธ่!เธอจะกลัวอะไรเล่า ก็รีบแจ้นขึ้นไปนั่งเบาะด้านในสุดเป็นคนแรกนี่นา
นั่นคือนรก 20 นาทีเต็มๆของการเหาะขึ้นเขา ไม่รวมอีกราว 10 นาทีบนทางราบ
ไม่รู้จะบรรยายความเสียวสยองยังไงถึงจะหมดจดเท่าที่รู้สึก สติที่ระลึกรู้ตอนนั้นก็คือคำถามว่า

นี่ฉันมาแสวงบุญหรือมาแสวงหาความตื่นเต้นผจญภัยเสี่ยงตายกันแน่?



ลงจากรถขาสั่นพั่บๆกันถ้วนหน้าทุกคน
นึกว่าจะหลุดจากนรกแล้ว...ที่ไหนได้ นรกขุมใหญ่ของแท้สำหรับคนแสวงความวิเวกในธรรมปรากฏทมึนอยู่ตรงหน้า
คลื่นมหาชนล้นหลามเป็นหมื่นๆคนไหลวนกันขึ้นลงทางเดินสู่ยอดเขาที่จะต้องปีนไปอีกราว 1 กิโลเมตร
แต่นั่นยังไม่เท่ากับเสียงประกาศทางเครื่องขยายเสียงดังกระหึ่ม...
ดังจริงๆ ดังกลบทุกสรรพสำเนียงป่า
“เอ้า ญาติโยมทั้งหลายไหว้พระแล้ว มาทำบุญเชิญทางนี้ ปีชงหรือเปล่า ถ้าปีชงมาแก้กันก่อน...มาฯลฯ”  
สารพัดคำเชิญชวนให้ซื้อบุญ เสียงนั้นมันเสียดทะลุรูหูซ้ายขวา ซอกซอนเข้าไปทำลายเยื่อสมอง กัดกินเนื้อตัวจนขนลุกขนพองไปหมด
แล้วมันก็เป็นเสียงที่ส่งทอดต่อเป็นจังหวะๆ รับลูกกันไปตลอดจนถึงยอดเขา
เฮ้อ! อกจะแตก
ที่ตีนเขาทำบุญแก้ปีชง ร้อยเมตรต่อมาบูชาพ่อฤาษี บูชาพระพิฆเณศร์ พระประจำวันเกิด ฯลฯ
นักแสวงบุญต้องซื้อธูป เทียน ทอง ดอกไม้ ผ้าแดง ผ้าสามสี ซื้อพลอยตามวันเกิด ปีเกิด เอาไปใส่ตามจุดตามที่กำหนด และเกือบทุกคนก็ทำตามๆกันไป
พิธีกรรมหลากหลายกระจายเสียงเป่าหูไปตลอดทางเดินสูงชัน คดเคี้ยวตามสภาพธรรมชาติที่ขนาบด้วยร้านค้าของที่ระลึก วัตถุบูชาที่ต้องใช้ในพิธีกรรม
กลีบดอกดาวเรืองถูกโรยไว้ตามรายทาง บนก้อนหิน ใต้โคนต้นไม้ ตามร่องหลุม คล้ายสัญลักษณ์แห่งการบูชา แต่ก็เป็นภาระหนักหน่วงในการจัดเก็บทำความสะอาด
ไม่รู้ว่าจุดเริ่มต้นของธรรมเนียมโรยกลีบดอกดาวเรืองนี่มาจากไหน เท่าที่เห็นก็คือปริมาณดอกไม้ชนิดนี้บนภูเขาในแต่ละฤดูแสวงบุญน่าจะเป็นตันๆ



แค่หลุดเข้าไปในแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์บริเวณนั้นฉันก็รู้ตัวแล้วว่า นี่เป็นการแสวงบุญที่ขัดกับจริตตัวเองอย่างสิ้นเชิง ไม่มีความสงบ ไม่ได้มีบรรยากาศแห่งความศรัทธาในแบบที่เคยจินตนาการเอาไว้ว่าคิชฌกูฏเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม

ทั้งหมดทั้งสิ้นมีแต่เส้นทางบุญตามรูปแบบทางกายภาพ เราถูกกระตุ้นให้บริจาคซื้ออิฐ-หิน-ปูน-ทราย ซื้อเครื่องบูชาทุกอย่างเพื่อเป็นสะพานบุญสู่โลกนี้และโลกหน้า
 สะพานธรรมเท่าที่ฉันพอเห็นอยู่บ้างก็คือ ป้ายเชิญชวนแปะระหว่างทางมีข้อความว่า ให้กำหนดลมหายใจเข้าออกภาวนา “พุทโธ” ไปพร้อมกับการเดินแต่ละก้าว จิตจะสงบ สมาธิบังเกิด แล้วกุศลจะตามมา
แล้วไงล่ะ?
เสียงจากลำโพงที่แยงรูหูอยู่ทุกวินาที สมาธินี่นะจะบังเกิด?
พอเริ่มหายใจเข้า พุท...หายใจออก...โธ แค่รอบเดียวเท่านั้นก็ขาดห้วง
“อ้าวท่านที่จะผ่านประตูสวรรค์มาทางนี้ ทำบุญตู้นี้นะเขียนชื่อญาติพี่น้องกันมาให้ครบ ทำเท่าไหร่ไม่ว่ากัน ขอแค่ให้มีจิตกุศล 5 บาทก็ได้ 10 บาทก็ได้ ขึ้นอยู่กับศรัทธา ทำเท่าไหร่ก็ได้บุญเหมือนกันหมด..”
เฮ้ย! จะประกาศอะไรกันนักหนาเนี่ยยย...
ตรงประตูสวรรค์มีธนบัตรสีแดง สีเขียว เย็บลวดต่อกันเป็นสายเหมือนริบบิ้นห้อยเรียงกันเป็นตับ เชื่อว่าเมื่อผ่านประตูเงินเข้าไปแล้ว เงินทองก็จะไหลมาเทมา ร่ำรวยกันถ้วนหน้า
“โยมเสื้อเหลืองนั่นน่ะขอให้กลับไปร่ำรวยเงินทองนะ ขอให้ได้บ้านทาวน์เฮาส์ ขอให้ไม่เจ็บ ไม่จน...”
โหยอะไรมันจะง่ายดายปานนี้...หย่อนเงินลงตู้แล้วมันจะมีโอกาสได้โชคมีบ้านเป็นหลังๆเลยหรือ
แต่ถึงจะอย่างไรสายธารบุญจากญาติโยมก็หลั่งไหลไม่สิ้น
บนยอดเขา เหนือรอยพระพุทธบาทพุทธศาสนิกชนแออัดยัดเยียดกันเหมือนฝูงมดเพื่อเข้าไปปิดทองลงบนรอยพระพุทธบาท
ไม่มีแม้แต่วินาทีเดียวที่เครื่องกระจายเสียงจะหยุดตะโกน
 ผู้แสวงบุญแต่ละคนก็ล้วนอยากขอพรและได้รับพร


“ขอให้ท่านผู้มีเมตตาใจบุญใจกุศลตั้งจิตอธิษฐานขอพรอันเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตสิ่งใดสิ่งหนึ่ง สิ่งนั้นๆท่านจะสำเร็จสมปรารถนา”

เฮ้อ...
แม้แต่จังหวะที่จะให้เกิดภาวนาจิตระหว่างบูชารอยพระพุทธบาทก็ไม่มี
ฉันแบกความทุกข์ในใจเดินลงเขา สถานที่บางแห่งมันอาจไม่ใช่ที่ของเราจริงๆ
ระหว่างทางฝนตกลงมาห่าใหญ่!
น้ำสีโคลนไหลลิ่วลงสู่เบื้องล่างตามเส้นทางเดินเป็นสาย ได้ยินโฆษกธรรมประกาศขออนุญาตหยุดส่งเสียงชั่วคราวเพราะกลัวสายฟ้า
ผู้คนส่วนใหญ่ชุลมุนหาที่หลบฝน บางคนเปียกปอน หลายคนหาเสื้อฝนใส่และเดินเท้าต่อ
แต่สรรพสำเนียงรายรอบเปลี่ยนไป เสียงคุยของผู้คนถูกกลบด้วยเสียงทรงพลังของธรรมชาติ
นั่นเป็นช่วงไม่กี่นาทีสั้นๆที่เสียงแท้จริงของขุนเขาได้สำแดงออกมา
เป็นเสียงสาดซ่าของสายฝนพรมลงบนใบไม้และเสียงน้ำไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ
          เป็นไปไม่ได้เลยที่คนจริตดกอย่างฉันจะเดินทางมาแสวงบุญที่นี่จนครบ 9 ครั้งเหมือนอย่างที่หลายคนตั้งใจ
เพราะครั้งนี้ครั้งเดียวก็เกินพอ จริงๆ

          .....


  


4 ความคิดเห็น:

  1. มาให้กำลังใจและจะตามอ่านครับ อ่านได้เต็มอิ่มกว่าในเฟซนะ จัดรูปแบบได้น่าอ่านกว่า

    ตอบลบ
  2. ไม่คิดอยากจะไปแสวงบุญในที่คนเยอะๆแบบนี้เลยครับ ไม่มีทางได้บุญเพราะจิตเศร้าหมอง

    ตอบลบ