กลางเดือนพฤศจิกายนแล้ว ลมไซบีเรียช่างเดินทางเชื่องช้านัก
ปีนี้กรุงเทพมหานครยังร้อนอ้าวแม้มรสุมสุดท้ายจะลาจากไปแล้ว
ฤดูกาลเคลื่อนไหวเป็นจังหวะและเปลี่ยนแปลงตามรอบเวลาของมันเป็นวงจรปกติระหว่างปี
... แต่ปีนี้วิปริตผิดแปลกเพี้ยนไป
ลมหนาวราวจะไม่มาหาลุ่มเจ้าพระยาอีกแล้ว
แม้แต่ริมฝั่งแม่น้ำโขงก็ยังไม่มีข่าวการเปลี่ยนแปลงฤดูกาล
หลังสายน้ำกราดเกรี้ยวพัดผ่านไป ทิ้งไว้เพียงความอุดมต่อการดำรงชีพของสรรพชีวิตริมตลิ่งสองฟากฝั่งแม่น้ำ
หลังออกพรรษา เก็บเกี่ยวข้าวเสร็จ ได้เวลาเปิดหน้าดินริมตลิ่งรอคอยการหว่านเพาะ
ตลาดสดริมฝั่งน้ำประจำฤดูกาลกำลังจะเปิดแล้ว
ผักใบเขียวละลานตาจะเริ่มปรากฏเป็นแถวแนวยาวเหยียด ลดหลั่นเป็นขั้นบันไดไล่ลงไปถึงชายน้ำ
...
ที่บ้านเกิดจังหวัดนครพนม ฤดูหนาวเป็นเทศกาลกินผัก
โดยเฉพาะผักใบเขียวทุกชนิด รวมทั้งผักในตระกูลผักกาด กะหล่ำ ถั่ว หอม กระเทียม
ระดับน้ำในแม่น้ำโขงจะค่อยๆ ลดลงและเริ่มเห็นชัดขึ้นในวันลอยกระทง เมื่อลอยประทีปบูชาพระแม่คงคาเสร็จการขึ้นแปลงผักก็เริ่มต้น
นี่คือเหตุผลที่ผักบางแปลงอยู่สูงลิบจากชายน้ำ
เราจะไม่คอยให้น้ำลดลงจนได้ระดับพร้อมกันเพื่อทำแปลงผักในคราวเดียว แค่ตลิ่งเริ่มปรากฏและเปิดเปลือยหน้าดินหลังน้ำลดก็จะเริ่มขึ้นแปลงไล่ทำไปเรื่อยตามระดับน้ำที่ถดถอยลงจากตลิ่ง
กลายเป็นขั้นบันไดสวยงาม
แปลงผักของพ่อสวยงามกว่าของใครๆ
พ่อจะวัดระดับด้วยเชือกขึงตึงเป็นแถวแนวชัดเจนแล้วปักหลักไม้กั้นดินทลายเส้นตรงดิ่งเป็นระเบียบ
จากนั้นค่อยกรุขั้นบันไดด้วยทางมะพร้าวแห้งที่มีหล่นทิ้งเกลื่อนกลาดตามสวนของเพื่อนบ้านแถวนั้น
พวกเราเด็กๆ
มีหน้าที่ไปลากมันมากองไว้ใกล้ๆ เวลาพ่อลงมือสร้างแปลงผัก
นี่คือ ภูมิปัญญาพื้นบ้านที่ทำตามกันมา
ฉันเพิ่งมารู้ภายหลังว่าทางมะพร้าวที่กรุเสาไว้หยาบๆ
นั้นเป็นวิธีการอันยอดเยี่ยมในการระบายน้ำของแปลงผัก
เพราะใบมะพร้าวเป็นเส้นสายไม่ทึบตัน กักดินเก็บไว้ได้แต่ไม่กั้นน้ำ
แถมมีรูพรุนมากมายเปิดทางให้อากาศเข้าไปบำรุงรากผักได้ดี
ถึงรอบฤดูน้ำหลากอีกครั้ง ปุ๋ยธรรมชาติที่สายน้ำพัดพามาจากต้นทางก็จะทับถมลงไป
เพิ่มความอุดมสมบูรณ์ลงไปบนผิวดินชั้นแล้วชั้นเล่า
ดินริมตลิ่งหลังน้ำลดจึงแทบไม่ต้องปรุงแต่งสิ่งใดก็พร้อมให้อาหารแก่เมล็ดพันธุ์ที่โปรยหว่าน
แปลงผักของพ่อทำเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้ายาว
ยกทางเดินผ่าตรงกลางสูงขึ้นเล็กน้อย แบ่งแปลงปลูกออกเป็นสองฟากฝั่งเพื่อให้สะดวกในการเดินรดน้ำ
แต่ละแปลงไม่กว้างเกินกำลังแขนของเด็กๆ ที่จะส่ายบัวรดน้ำไปถึง
ดินริมน้ำชุ่มชื้นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่ผักก็ยังต้องการน้ำทุกวัน
บางปีที่อากาศแห้งจัด เราอาจต้องเทียวขึ้นลงตลิ่ง
รดน้ำทั้งเช้า-เย็นก่อนไปโรงเรียนและหลังเลิกเรียน
เป็นภารกิจช่วยงานบ้านที่ไม่มีใครชื่นชอบ พวกเราพี่น้อง ๕ ชีวิต
ไม่มีคนใดเลยสนุกกับการรดน้ำผัก
มีแต่จะคอยเกี่ยงงอนกันว่าใครเอาเปรียบใครบ้างในหน้าที่ประจำวันนั้น
นั่นคือเหตุผลที่ฉันเกลียดผักในวัยเด็ก
บวกกับรสชาติอันขมขื่นไม่ได้น่าชื่นชมของมัน
ทำให้ต้องคอยเขี่ยผักสารพัดออกจากจานข้าวเสมอ
กว่าจะรู้คุณของผักอีกทีก็เกือบสายไปเสียแล้ว
ผักแปลงแรกๆ หลังน้ำลดมักจะเป็นพวกผักกาดที่โตเร็ว
ปลูกไม่นานก็จะได้กินทันใจ
พวกผักที่ต้องดูแลเรื่องน้ำเป็นพิเศษจะอยู่ใกล้ชายน้ำหน่อย
จะได้ไม่ต้องปีนตลิ่งสูงมากนัก
เมล็ดพันธุ์ผักของบ้านเราเมื่อแรกเริ่มนั้นเป็นผักพันธุ์ดีของเพื่อนบ้านที่ขอแบ่งปันกันมาเป็นทอดๆ
พอปลูกได้ผลผลิตครั้งแรกพ่อก็จะแบ่งผักในแปลงส่วนหนึ่งแยกเอาไว้ต่างหากสำหรับทำพันธุ์
ทำนุบำรุงให้น้ำให้ปุ๋ยเป็นพิเศษ พอแก่ได้ที่ เมล็ดพันธุ์ดีๆ
ก็จะตกอยู่ในมือของเราเอง ใครอยากได้ก็มาแบ่งเอาไปเป็นแบบนี้เหมือนที่คนอื่นทำ
ไม่จำเป็นต้องซื้อหา
กระทั่งมาเฟียแห่งวงการเมล็ดพันธุ์พืชโผล่เข้ามาตัดวงจรความเอื้อเฟื้อระหว่างเพื่อนบ้านต่อเพื่อนบ้าน
เมล็ดพันธุ์ที่พัฒนากันเองแบบพื้นเมืองจากแปลงผักชาวบ้านอย่างเราๆ
ก็สูญหายตายไปจากระบบเกษตรกรรมพื้นบ้านอย่างสมบูรณ์แบบ
เดี๋ยวนี้ทุกอย่างต้องซื้อจากบริษัทที่เป็นเจ้าตลาด
กระบวนการทางการตกแต่งพันธุกรรมทำให้เราไม่เหลือเมล็ดพันธุ์จากแปลงผักของเราเอาไว้ใช้เองอีกต่อไป
ดีแล้วที่พ่อเลิกปลูกผักตั้งแต่ตอนเกษียณอายุราชการเมื่อ
๓๐ กว่าปีก่อน ไม่เช่นนั้นเราก็คงปวดใจนักหนาที่ต้องซื้อเมล็ดพันธุ์ผักใหม่ทุกปีมาลงแปลง
...
เมล็ดพันธุ์ผักกาดเล็กจิ๋ว บางชนิดเล็กกว่าเมล็ดแมงลักด้วยซ้ำไป
ส่วนใหญ่สีดำ ปริมาณแค่หยิบมือเดียวก็ได้ต้นกล้าเต็มแปลงใหญ่
แปลงกล้าผักไม่ต้องพรวนดินลึกมาก แค่ทำให้ร่วนซุยพอเหมาะ รดน้ำจนชุ่ม
ก่อนจะหว่านเมล็ดพันธุ์ลงไปให้ทั่วแปลง โรยดินร่วนกลบบางๆ อีกรอบ
จากนั้นฝักบัวฝอยละเอียดก็โปรยสาย
ธาตุทั้งสี่ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ทำงานประสานกันได้ที่ ชีวิตใหม่ก็ก่อเกิด
ต้นกล้าผักกาดใบเล็กจิ๋วค่อยๆ แทงทะลุดินขึ้นมารับแดด เบียดกันแน่นขนัด แย่งกันตะกายขึ้นสู่ฟ้าพุ่งเข้าหาดวงอาทิตย์
หากสังเกตสักหน่อยเราจะเห็นกับตาว่าต้นกล้าที่แข็งแรงจัดจะโตไวกว่าเพื่อน
ต้นสูงกว่าใครและใบก็แผ่ออกกว้าง ทั้งที่ใช้เวลาในการหว่านเพาะมาเท่ากัน
ประมาณ 10 หรือ 15 วัน ต้นกล้าก็แข็งแรงพอที่จะแยกต้นออกมาปลูกลงแปลงใหม่
ตอนนี้เป็นหน้าที่ของแม่ในการคัดเลือกต้นกล้าขนาดใกล้เคียงกันไปฝังลงหลุมที่พ่อขึงเชือกตีตารางไว้
ให้ได้ระยะห่างพอเหมาะพอดี ต้นกล้าจะได้ไม่แย่งกันกินอาหาร
และมีพื้นที่ด้านข้างเหลือพอให้แตกกอได้เต็มที่
เราทำแบบนี้กับผักกาดแทบทุกชนิด
โดยเฉพาะคะน้า ผักกาดขาวปลี ผักกาดหอม กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก หอมแดง และกระเทียม
เฉพาะหอมแดงกับกระเทียมนั้นเป็นแปลงผักที่ครอบครัวเราต้องเอาใจใส่เป็นพิเศษ
เพราะพ่อจะลงแปลงในปริมาณมากกว่าผักชนิดอื่นทั้งหมด
เนื่องจากสามารถเก็บเอาไว้ใช้นานหลังจากเก็บเกี่ยวแล้ว
ครัวที่บ้านจะมีราวไม้ไผ่พาดแขวนอยู่ใต้ขื่อ
เมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยวยามหมดลมหนาว
แม่จะมัดหอม-กระเทียมเป็นพวงใหญ่แบบเดียวกับพวงมาลัยห้อยคอ
โดยใช้ตอกไม้ไผ่รวบส่วนที่เป็นใบแห้งมัดเข้าด้วยกันให้แน่นหนาแล้วนำไปแขวนผึ่งลมไว้ในราวไม้ไผ่ให้แห้งสนิท
หอม-กระเทียมแห้งแขวนเก็บอยู่ในที่อากาศผ่านไม่อับชื้น
สามารถคงคุณภาพได้เป็นปี แขกไปใครมา ญาติพี่น้องผ่านทางมาเยี่ยมเยียน
แม่ก็จะแบ่งหัวหอมและกระเทียมออกจากมัดมาเป็นของฝาก
ไม่ได้มีราคาค่างวดมากมาย
แต่เปี่ยมล้นด้วยความหมายแห่งมิตรไมตรี และบ่งบอกสายธารวัฒนธรรมลุ่มน้ำโขงได้อย่างล้ำลึก
...
ธรรมชาติของผักใบเขียวส่วนใหญ่ชอบอากาศหนาวเย็น ไม่ถูกโรคกับฝน
ซึ่งจะทำให้ผักช้ำและเน่าง่าย
ฤดูหนาวของภาคอีสานจึงเป็นช่วงเวลาทองของการกินผักตามฤดูกาลที่เอร็ดอร่อย
มีให้เลือกมากมายและราคาถูกแสนถูก เพราะใครๆ ก็ปลูกผักได้งาม ขึ้นง่าย
ไม่ค่อยมีโรคแมลงรบกวน
นักโภชนาการทั่วโลกต่างก็ยึดหลักการเดียวกันนี้
แนะนำให้แต่ละท้องถิ่นกินผักตามฤดูกาล
ซึ่งนอกจากจะปลอดภัยแล้วยังได้รสชาติอร่อยที่แท้จริงของผักแต่ละชนิดด้วย
ผักใบเขียวประจำฤดูหนาวของบ้านเราที่ไม่เคยขาดไปจากแปลงเลยก็คือ
ผักสลัด หรือผักกาดหอม ซึ่งจะปลูกได้ต้นใหญ่ยักษ์และงามกว่าปลูกในฤดูอื่น
ที่เหลือรองลงมาก็เป็นคะน้า กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก
พวกที่เป็นลูกและเป็นฝัก ขาดไม่ได้แน่ๆ ก็คือมะเขือเทศ ถั่วฝักยาว
และถั่วลันเตา
มะเขือเทศที่เราปลูกมีทั้งพันธุ์ลูกใหญ่รูปทรงคล้ายผลฟักทอง
และพันธุ์เล็กในกลุ่มมะเขือเทศสีดา ไปจนถึงมะเขือเทศลูกกลมขนาดเล็กจิ๋ว
รสอมเปรี้ยวอมหวานจัดจ้านที่นิยมใช้ปรุงส้มตำปลาร้า
ทุกเช้าและเย็นเมื่อถึงเวลาปรุงอาหาร
เราต้องการแค่เนื้อสัตว์บางชนิดจากตลาดสด ที่เหลือนอกนั้นเก็บเอาสดๆ
จากสวนครัวข้างบ้านและแปลงผักริมตลิ่ง
ปีนี้ได้ยินมาว่า แม่ค้าผักแดนไกลจากเมืองหลวงหลายคนเริ่มบุกทะลวงไปถึงถิ่นอีสานและไล่ล่าออกออเดอร์ผักริมตลิ่งแม่น้ำโขง
เลือกสั่งให้ปลูกเฉพาะชนิดที่ตัวเองต้องการ
แบบผูกปิ่นโตเป็นเจ้าประจำกันจนคนในท้องถิ่นก็แทบไม่มีโอกาสได้กินด้วยซ้ำไป
เมื่อคนมากขึ้น พื้นที่ของแหล่งอาหารลดลงเพราะถูกแปรสภาพไปใช้ประโยชน์อื่น
การแย่งชิงทรัพยากรก็ย่อมตามมาเป็นธรรมดา
ปีนี้แม่บอกว่าลมหนาวยังไม่พัดมาเลย คงมีโอกาสได้ใส่เสื้อกันหนาวแค่ไม่กี่วัน
ฉันยังจำรสชาติความเหน็บหนาวของลมไซบีเรียในวัยเด็กได้ดี
มันส่งเสียงหวีดหวิวบาดหูมาเป็นช่วงๆ โดยเฉพาะในเวลาเช้าตรู่และย่ำค่ำ
เวลาเดินตากลมลงไปเก็บผัก ลมจะบาดผิวจนตึงแน่น
รู้สึกว่าใบหน้าเย็นเฉียบและแข็งเหมือนหิน ในตอนนั้นรู้สึกเกลียดแปลงผักเข้ากระดูก
แต่เวลานี้มีเพียงลมร้อนในเดือนหนาว และคิดถึงแปลงผักริมตลิ่งจับใจ
.............
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น