วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

“Shit” อินเดีย...ที่เคยผ่านทาง

ตอนนี้เจ้าของรองเท้ายังยิ้มได้ เพราะยังไม่ได้ตบเงินรางวัล


วันหยุดยาวเดือนเมษายนทุกปี คนไทยแห่ไปเที่ยวประเทศอินเดียกันมากมาย โดยเฉพาะการจาริกแสวงบุญ ณ “สังเวชนียสถาน”
แต่เรื่องที่จะเล่านี่ ไม่เกี่ยวกับสังเวชนียสถานเลยนะคะ เพราะจนบัดนี้ตัวเองก็ยังไม่เคยไปจาริกแสวงบุญแหมือนใครเขา หนักไปทางแสวงบาปมากกว่า ฮา ฮา
พอดีย้อนกลับไปอ่านสมุดบันทึกเล่มเก่าๆเขียนเล่าเรื่องอินเดียเอาไว้ตั้งแต่การเดินทางไปคราวแรกเมื่อเดือนมิถุนายน 2539 อ่านไปหัวเราะไปจนน้ำตาไหลก็เลยนึกสนุกอยากเอามาเล่าสู่กันฟังบ้าง
...
การเดินทางคราวนั้นเป็นค้นพบอินเดียโดยไม่ได้วางแผนและเตรียมตัวมาก่อนจึงทำให้ได้เห็นเสน่ห์อินเดียในเหลี่ยมมุมที่นึกไม่ถึง
            เป็นเสน่ห์แห่งความอัปลักษณ์ที่แสนซื่อในการเปิดเผยตัวตน
สมุดบันทึกเล่มน้อย ฉายภาพอดีตเรียงรายเป็นฉากๆ
            เช้าวันแรกหลังกินข้าวเสร็จยังไม่มีอะไรทำ ฉันกับเพื่อนร่วมทางชวนกันออกจากโรงแรมไปเดินเล่นที่ตลาดใกล้ๆ ห่างออกไปแค่ไม่กี่ช่วงตึก
            ตลาดแห่งนั้นเป็นแบบร้านค้าแผงลอยข้างถนน มีคนขัดรองเท้านั่งอยู่กับพื้นตั้งร้านรับขัดรองเท้าเรียงสลอน ต่างคนต่างแข่งกันเรียกลูกค้ามาใช้บริการเสียงเซ็งแซ่
ทางเท้าสกปรกแต่ไม่มีใครรังเกียจ หน้าร้านกระดำกระด่างมีหีบห่อสินค้าวางระเกะระกะไปหมด พ่อค้าเสื้อผ้า ของกินเล่น ขนมนมเนยพืชผักผลไม้ ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ชายทั้งสิ้น
            แถวนั้นมี subway ด้วย มีตึกเก่าๆทำเป็นโรงหนัง กำลังฉายหนังติดเรท เรื่อง Dangerous Touch of Sex  โปสเตอร์หนังมีการลงสีแบบโมเสคปิดอวัยวะของสงวนไว้ไม่ให้อุจาด
ถัดไปอีก 1 บล็อกเป็นศาสนสถานของฮินดู แหล่งรวมชีวิตแท้จริงของคนอินเดีย
            ที่นี่คนจรจัดมาอาศัยนอนแบบถาวรเป็นประจำ คนขอทานแห่กันมาทำมาหากินเป็นแก๊ง ผู้มีอันจะกินและใจบุญมาซื้อของถวายวัดและแจกทานคนจน
            ระหว่างเดินอยู่เพลินๆ คนขับรถตุ๊กตุ๊กพยายามตามตื๊อให้เราใช้บริการพาเที่ยวในราคา 5 รูปีเท่านั้นแต่ฉันสั่นหัวดิก ส่วนเด็กขอทานคอยสะกิดขอ 1 รูปี 2 รูปี แลกกับการยินยอมให้ถ่ายรูป
ที่หน้าวัดมีร้านขายของเซ่นไหว้เต็มเป็นพืด ขนมสีเหลือง ดอกดาวเรืองจัดใส่ถาดเอาไว้พร้อม
มีนักบวชฤาษีนุ่งห่มเหลืองนั่งเป่าสังข์อยู่ใต้ต้นไม้ ชาวบ้านโปรยปรายกลีบดอกดาวเรืองไปรอบตัวเขา ใกล้ๆกันมีตำรวจรักษาการณ์พกกระบองยืนอยู่ 2 คน
16 ปีก่อนดัชนีค่าครองชีพอินเดียสูงทีเดียว มะม่วงสุกกิโลกรัมละ 25 รูปี ถือเป็นผลไม้ราคาแพงสำหรับคนยากจนในประเทศ 
เราเพิ่งแลกเงินที่โรงแรมเมื่อเช้าได้อัตราแลกเปลี่ยน 100 อเมริกันดอลลาร์ต่อ 3,485 รูปี ตอนนั้นเงินไทยยังอยู่ที่ 25 บาทต่อ 1 ดอลลาร์

            ราวครึ่งชั่วโมงเราเดินวนกลับมาถึงหน้าโรงหนังแห่งนั้นอีกครั้งและข้ามถนนไปอีกฝั่ง
ระหว่างเดินอยู่กลางถนนแท้ๆ จู่ๆก็มีนักขัดรองเท้ารี่เข้ามาประชิดตัวฉันแล้วชี้มือลงไปที่รองเท้า 
“Hey shit on your shoe!”
อะไรอะ? ฉันชายตาเหลือบตามนิ้วอาบังลงไปต๊กกะใจทันที
อะไรนั่น เหลืองปนเขียวเยิ้มๆ อาบอยู่เต็มหลังรองเท้าบู๊ทข้างขวา
โอ้พระเจ้า ฮือ ฮือ Balley Shoes ของฉ้านนน.... 
ขี้
มันเป็นขี้อย่างไม่ต้องสงสัย แล้วนี่ฉันไปเดินเตะเอาตอนไหนไม่ทราบได้ ช่างไม่รู้ตัวเอาเสียเลย
ทำไงดีล่ะทีนี้?
โชคดีนะนี่ที่ไม่ใช่รองเท้าผ้าใบ ไม่งั้นมันคงซึมลงไปถึงง่ามเท้าแน่ โอ๊ย...แค่คิดก็แขยงแล้ว 
แหวะ!
แทบจะอ้วกแตกกับภาพที่เห็น

ไม่น่าเชื่อว่าตัวเองจะเดินซุ่มซ่ามไปเหยียบเอาขี้กองเบ้อเริ่มขนาดนี้ มันต้องเป็นอุนจิกองใหญ่ขนาดหนัก เพราะไม่ได้เปื้อนแค่พื้นรองเท้า แต่เลยขึ้นมาท่วมถึงบนหลังเท้าเลยทีเดียว
            นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันเหยียบขี้แบบพิสดารพันลึกท่วมไปทั้งรองเท้า
          แหวะ แหวะ แหวะ   

อาหารเช้าแทบขะย้อนออกมาหมดพุง ทั้งตกใจทั้งขยะแขยง
ทำไงดีล่ะทีนี้? จะหาที่ล้างตรงไหนดี ทิชชูก็ไม่ได้พกติดตัว แล้วจะเดินกลับโรงแรมในสภาพเหยียบขี้อยู่เต็มเท้าได้ยังไง?
โอ๊ย ประสาทแดก ตายแน่ตรู...
“Come..  come with me, here this way”

ยังไม่ทันนึกอะไรออก หนุ่มอินเดียก็ชวนหลบเข้าข้างทาง ฉันเดินตามเหมือนถูกมนต์สะกด แหงล่ะ ตอนนั้นพร้อมยิ่งกว่าพร้อมที่จะรับความช่วยเหลือจากใครก็ได้ในโลกนี้เพื่อกำจัดขี้ติดรองเท้าออกไปให้ได้
หนุ่มอินเดียผู้มีอุปกรณ์ขัดรองเท้าติดตัวพร้อมสรรพนั่งแหมะลงข้างทาง ดึงม้ารองนั่งเล็กๆออกมา
ขนาดของมันกำลังเหมาะพอดีสำหรับยกเท้าขึ้นวางให้จัดการชำระสิ่งสกปรก
เขาหยิบเศษผ้ากระดำกระด่างออกมาจากตรงไหนก็ไม่รู้ เช็ดควับไปทีเดียวคราบอุนจิหลุดออกเกือบหมด พลิกผ้าตลบซ่อนรอยเปื้อนไว้อีกด้าน พอเช็ดรอบสองสิ่งที่ฉันแขยงแทบแย่ก็ปราศนาการไปในพริบตา
เจ้าของมือที่ถือผ้าเช็ดขี้ ทำท่าย่นจมูกเหมือนกับกลิ่นขี้กำลังวิ่งเข้าสู่ลมหายใจ หน้าตาเขาเหยเกน่าเห็นอกเห็นใจบ่นเบาๆ
“Shit!”
ว่าแล้วก็โยนผ้าสกปรกผืนน้อยทิ้งไปข้างทาง


ช่างขัดรองเท้าผู้อารี(ตอนนั้นรู้สึกว่าเขาใจดีมากกกก) ถือโอกาสเช็ดถูทำความสะอาดและขัดรองเท้าทั้งคู่ของฉันเอี่ยมอ่อง โดยที่ไม่ต้องร้องขอ  
ถึงตอนนี้บัลลีย์คู่เก่งที่ฉันอุตส่าห์เก็บหอมรอมริบซื้อมาได้เป็นคู่แรกในชีวิตก็เริ่มดูดีมีราคาขึ้นมาหน่อยแล้ว ระหว่างนี้หนุ่มแขกชวนคุยไปเรื่อย
เขาถามว่ายูมาจากไหน ไทยแลนด์ฉันตอบ
อ้อ ไท้แล่นด์ เขาขึ้นเสียงสูงต้นประโยคตามสำเนียงถนัด
เคยไปเที่ยวไหม?” เราต่างคนต่างชวนคุย
โน
แล้วยูมาจากไหน เราได้โอกาสถามกลับมั่ง
เนปาล ไอเป็นคนเนปาลี
อ้าว!...นึกว่าเป็นคนอินเดียเสียอีก
โน โน ยูรู้หรือเปล่าว่าคนเนปาลชอบมาทำงานที่อินเดียมากนะ
จริงเหรอ ฉันนึกว่าที่นี่คนเยอะอยู่แล้วไม่น่ามีงานเหลือให้เพื่อนบ้านเข้ามาแย่งอีก”     
มี๊ ทำไมจะไม่มี เขายืนยันเสียงหนักแน่น
ยูรู้เปล่าพวกช่างขัดรองเท้าที่ยูเห็นนี่เป็นเพื่อนร่วมชาติชาวเนปาลของไอทั้งนั้น
จริงอ่ะ?” ฉันไม่อยากเชื่อเลย
แล้วรายได้ดีหรือเปล่า
อดนึกสงสัยไม่ได้ว่าแต่ละวันพวกเขาจะมีรายได้พอเลี้ยงปากเลี้ยงท้องหรือไม่กับงานข้างถนนแบบนี้  ยิ่งถ้าคิดว่าแต่ละวันเขาต้องเช็ดขี้ออกจากรองเท้าไม่รู้กี่คู่ต่อกี่คู่ยิ่งสยอง
ตอนนี้ที่เนปาลฝนตกเยอะไม่มีอะไรให้ทำ แทนที่จะตอบคำถามตรงๆเขาเลี่ยงไปอีกทาง
ถึงตอนนี้เขาลงยาเสร็จแล้วขัดมันจนรองเท้าขึ้นเงาวับ ในที่สุดก็เรียบร้อย
เขายกเท้าของฉันลงจากตั่ง แล้วเอียงคอมองดูผลงานด้วยความชื่นชม
ฉันล้วงมือลงไปในกระเป๋ากางเกงยีนส์เสียงเหรียญรูปีกระทบกันดังกรุ๋งกริ่ง แต่มีธนบัตรดอลลาร์อยู่ในนั้นด้วย ฉันล้วงธนบัตร 1 ดอลลาร์ขึ้นมา ชั่งใจวัดมูลค่าของมันเมื่อคิดเป็นเงินรูปี
น่าจะสมเหตุสมผลอยู่สำหรับงานขัดรองเท้าในเวลาแค่ 5 นาที
ช่างขัดรองเท้าเหลือบตาขึ้นมาเห็นพอดี เขาทำสีหน้าประหลาดใจก่อนจะเอ่ยเสียงสูงว่า
ชูส์ คลีนนิ่ง 150 รูปี!”
โอพระเจ้า ตั้ง 150 รูปีเชียวรึ ก็ฉันเห็นอยู่กับตาว่าคนขัดรองเท้าเจ้าอื่นเขาเขียนป้ายติดราคาไว้โทนโท่ว่า 10 รูปีเท่านั้นเอง แต่นี่ฉันใจป้ำให้ไป 1 ดอลลาร์เลยทีเดียวนะ ตั้งเกือบ 35 รูปี 3 เท่าของราคาปกติ
เพื่อนที่ร่วมทางไปกับฉันสั่นหัวดิก ไม่มีทาง...
เขาแย่งธนบัตร 1 ดอลลาร์มายัดใส่ในมือคนขัดรองเท้าและจูงแขนฉันเดินหนีทันที
แค่นี้ก็มากพอแล้ว เขาสบถเสียงกระซิบ
เฮ้ ยู what for …1 dollar?” ช่างขัดรองเท้าโวยวายเสียงดังไม่ยอมให้เราไปไหน เท้าสองคู่ชะงักกึก
“For you” เพื่อนเป็นคนตอบ
“For me! What?" นี่อะไร ให้ผมแค่นี้เองเหรอ
"This hand I used for dinner, how come?  I took off shit with this hand so you give me only 1 dollar?”
เขาโวยวายว่ามือที่เช็ดขี้นั่นใช้เปิบข้าวเชียวนะทำไมมันช่างมีค่าน้อยเสียเกินแค่ดอลลาร์เดียว
“Yes it’s should be enough” แค่นั้นก็พอแล้วย่ะ ฉันยืนกราน เริ่มโมโหตะหงิดขึ้นมา
“No, you must give me 150 rupees or ten dollars” ไม่มีทางผมต้องได้ 150 รูปีหรืออย่างน้อยๆก็ต้อง 10 ดอลลาร์
ตอนนี้ท่าทางช่างขัดรองเท้าใจดีหายไปหมดแล้ว นี่มันเป็นการขู่กรรโชกกันชัดๆ
“Only one dollar OK?”             ฉันให้แค่ดอลลาร์เดียวนี่แหละ ฉันกับเพื่อนร่วมทางยังทำใจดีสู้เสือ
“Impossible! I won’t take one dollar. ยังไงมันก็ไม่ยอมเด็ดขาด โวยวายเสียงดัง จนเพื่อนร่วมอาชีพเริ่มเกร่เข้ามามุง
“You see!, this is a hand to use for dinner and this hand removed shit from your shoes!” คุณดูสิทำกับผมแบบนี้ได้ไง มือข้างนี้ผมต้องใช้กินข้าวนะ...มันพร่ำพูดแต่ประโยคนี้ซ้ำซาก
ฉันยังยืนกรานความตั้งใจเดิมที่จะให้แค่นั้น เพราะนั่นก็ 3 เท่าของค่าบริการปกติแล้ว 
ความจริงไม่มีประโยชน์อะไรที่ต้องไปต่อรอง เพราะอีกฝ่ายไม่ได้สนใจจะใช้เหตุผล เขาตีค่าการทำความสะอาดรองเท้าไว้สูงลิ่วเพราะมันมีขี้โปะอยู่ ไม่เกี่ยวกับอัตราค่าขัดรองเท้าทั่วไป
แต่เลือดศรีธนญชัยของสาวไทยก็ชักขึ้นหน้าเหมือนกัน  ตอนนี้แขกกับไทยจ้องตากันไม่กระพริบ แบบไม่มีใครยอมใคร
“Listen! take this dollar and 20 rupees OK? Or go to police station together.”
คราวนี้เป็นปกาศิตจากเพื่อนร่วมทางของฉัน ตัดปัญหาทุกอย่างโดยสมนาคุณเพิ่มให้อีกยี่สิบรูปี
อะฮ้า! คำว่าตำหนวดได้ผลเสมอในทุกมุมโลก แขกหนุ่มหน้าถอดสี รีบกระชากแบงก์จากมือแล้วถอยกรูดแบบที่เราไม่ต้องออกแรง แต่ก็ไม่วายส่ายหัวด็อกแด็ก ออกอาการบ่อจอยและพร้อมที่จะหาเรื่องต่อได้ทุกเมื่อ
เราก็รีบลากแขนกันเผ่นออกจากตรงนั้นแบบไม่เหลียวหลัง
...



ฮ่าๆๆๆ ยูเจอฤทธิ์พวกแก๊งตกขี้เล่นงานเข้าให้แล้ว”
ไกด์นำเที่ยวของเราที่มาจากบริษัทตัวแทนท่องเที่ยวรายใหญ่ของอินเดียหัวร่องอหายหลังฟังเรื่องเล่าการผจญภัยในดงอุนจิของเรา
อะไรนะ?” ฉันเคยได้ยินแต่เรื่องแก๊งตกทองในบ้านเรา นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้ยินเรื่องแก๊งตกขี้
แล้วมันบอกยูด้วยใช่ไหมว่า มันไม่ใช่คนอินเดีย แต่เป็นพวกปากีสถาน
เปล่า เขาบอกว่ามาจากเนปาล
นั่นแหละไม่ได้ต่างกันเลย เคสแบบนี้เกิดขึ้นทุกวัน แต่คนในแก๊งนี้จะไม่มีวันยอมรับหรอกว่าพวกเขาเป็นคนอินเดีย
อ้าว! ทำไมล่ะ ไม่เห็นจะมีเหตุผลเลย
ยูไม่รู้อะไร เรื่องแบบนี้ไม่มีใครเขาอยากทำให้ประเทศเสียชื่อหรอก
5555  คราวนี้เราเป็นฝ่ายหัวร่อบ้าง แบบนี้นี่เองเรื่องตีแขกก่อนตีงูจึงคลาสสิคตลอดกาล
แต่มันทำกันยังไง เราไม่รู้ตัวเลยนะ
โอ๊ย พวกนี้เซียนกันทั้งนั้นเลยคุณ ถ้าไม่ใช่ตอนที่มันเดินเข้าไปใกล้แล้วทักคุณพร้อมกับหยอดขี้ลงไป ก็อาจจะมีเพื่อนร่วมแก๊งคนอื่นคอยหยอดไว้ก่อนหน้าตอนที่คุณกำลังเผลอ อาจจะในช่วงเดินสวนกัน หรือตอนที่คุณหยุดดูข้าวของตามทางเท้าก็ได้
แม่นแล้ว ระหว่างเดินชมเมือง ฉันแทบไม่ได้ก้มดูรองเท้าเลย มารู้อีกทีก็เห็นแต่ขี้เละเต็มหลังเท้า
อะไรนะ...คนพวกนี้พกขี้ใส่ถุงพลาสติกติดตัวไว้ทั้งวันเพื่อคอยหยอดใส่เหยื่องั้นเหรอ?”
ไกด์แขกส่ายหัว ซึ่งแปลเป็นคำตอบว่า ใช่
มิน่าเศษอุจจาระถึงได้เปื้อนแต่ด้านบนรองเท้า ก็เพราะมันใช้วิธีหยอดใส่นี่เอง แค่วันแรกก็ได้รู้จักอินเดียถึงกึ๋นเลยจริงๆ
ช่ายยย แล้วคุณสังเกตไหมว่าทำไมย่านนั้นถึงมีแต่คนขัดรองเท้าเต็มไปหมด
            อ้อ...อย่างนี้นี่เอง พอเราเอ่ยถึงตำรวจเขาจึงได้ยอมถอยง่ายๆ สงสัยคงมีคดีทำนองนี้กันจนชินชา
พิโธ่พิถัง ยิ่งคิดก็ยิ่งขำ แต่ที่ขำจัดก็คือตอนเจ้าหนุ่มนั่นให้เหตุผลในการชาร์จค่าแรงแพงลิบว่า
มันใช้มือข้างที่จะเปิบข้าวเช็ดขี้ออกจากรองเท้าเรา!
ฉันเพิ่งรู้นะเนี่ยว่ามือข้างที่เปิบข้าวกับมือที่ใช้เช็ดขี้มันช่างมีค่าต่างกันลิบลับ


......


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น