ความสงสัยใคร่รู้ของมนุษย์นำไปสู่ความสามารถในการไขปริศนาจักรวาลจนเปิดเปลือยความลี้ลับมากมาย
แต่ขุมอวิชชาก็ดูเหมือนจะไม่มีวันหมดไปจากเอกภพนี้
เมื่อค้นพบสิ่งหนึ่ง
จึงยังเหลือสิ่งอื่นอีกมากมายรอคอยที่จะมาต่อเชื่อมองค์ความรู้นั้นเพื่อให้เกิดความสมบูรณ์ขึ้น
และแม้จิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้ายจะสร้างภาพให้มองเห็นสัมผัสได้แต่ก็ยังมีเรื่องราวอีกมากมายซุกซ่อนอยู่เบื้องหลังภาพนั้นลึกลงไปเป็นชั้นๆ
ไม่ต่างจากจิตวิญญาณภายในของมนุษย์ที่แฝงฝังซ้อนทับอยู่ในตัวตน
ลี้ลับ ไม่อาจคาดเดา
ไม่มีผู้อื่นมองเห็น หรืออ่านออก...
ดังนั้น
เมื่อช่องเขาแคบๆเปิดออกให้แสงสว่างปลายทางค่อยๆคลี่ภาพที่รอคอยให้เห็น หัวใจเราจึงวาบขึ้นด้วยความปีติ
ราวกับได้รับรอยยิ้มทักทายจากเทพธิดาแห่งหุบเขา
รอยยิ้มนั้นอ่านไม่ออก บอกเล่าสิ่งใดไม่ได้
นอกจากอวดโฉมงามอันชวนตื่นตลึงของหน้าผาสีชมพูเข้มที่สลักเสลาอย่างประณีตให้เป็นอาคารมหึมา
ซุกซ่อนอยู่อย่างลี้ลับนับพันปี จนกระทั่งขุมทรัพย์สุดขอบฟ้าแห่งนี้ถูกค้นพบ
นครเพตรา
อาณาจักรของชาวนาบาเทียนผู้สาบสูญ
...
ฉันไปที่นั่นหลายปีมาแล้ว กับเพื่อนนักเขียนคนหนึ่ง นักอ่านรู้จักเธอดีในนาม “วิสรรชนีย์
นาคร” ตอนนั้นเราสนุกกันมาก ผลัดกันถ่ายรูปและชวนกันเดินปีนป่ายไปชมอาคารหินอันโอฬารพันลึกที่สรรค์สร้างขึ้นได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ
วันนั้นเธอยังสดใส แต่วันนี้เธอไม่สามารถกล่าวได้แม้แต่ถ้อยคำเดียวด้วยอาการเจ็บป่วยของโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงที่ทรุดโทรมต่อเนื่องหลายปี
วิสรรชนีย์ นาคร มีฝีไม้ลายมือเขียนเรื่องสั้นในระดับพระกาฬคนหนึ่ง
แต่บัดนี้เธอทำได้เพียงกระพริบตาเป็นถ้อยคำ ไม่ต่างจากตัวละครในหนังสือ “ชุดประดาน้ำและผีเสื้อ”
ของฌอง-โดมินิก โบบี้
ฉันไปรื้อรูปเกี่ยวกับการเดินทางเก่าๆออกมาดูจึงเห็นเธอ
ความเศร้าลึกโจมจู่อย่างรุนแรงเพราะนับแต่เธอนอนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาลท่าโรงช้าง
สุราษฎร์ธานี ฉันยังไม่มีโอกาสไปเยี่ยมเธอเลย
บทกวีที่เขียนด้วยตา
หลั่งคำพูดเป็นอุทกธาร
บาดลึกในจิตวิญญาณมิตรภาพ
บางทีเราก็หลงลืมหลายสิ่ง
บางทีเราเฝ้าแต่ปล่อยให้เวลาล่วงผ่านไป
โดยไม่ใส่ใจกับสิ่งที่ควรทำ
บาดแผลในใจ
ไม่มีใครมองเห็น
แต่มันยังเป็นบาดแผลของเรา
....
ฉันทำได้เพียงร่ายบทกวีในวันที่คิดถึงเธอ มันคือคือความเกลียดชังตัวเองของฉันที่ยังไปหาเธอไม่ได้
....
นครเพตราสร้างขึ้นมาตั้งแต่ยุคไบแซนไทน์ด้วยวิธีขุดเจาะหน้าผาหินเข้าไปเป็นถ้ำหรืออาคารสำหรับอยู่อาศัยและประกอบพิธีกรรม
นครโบราณนี้รุ่งเรืองต่อเนื่องมาหลายร้อยปีจากนั้นก็หายสาบสูญมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่
5
มาถูกค้นพบอีกครั้งในปี ค.ศ 1812
โดย โยฮันน์ ลุควิก บวร์กฮาร์ท นักสำรวจและนักเขียนรูปชาวสวิตเซอร์แลนด์ที่ปลอมตัวเข้าไปปะปนอยู่ในหมู่ชาวเบดูอินเพื่อค้นหาอาณาจักรของชาวนาบาเทียนที่เคยได้ยินได้ฟังมา
จนกระทั่งได้พบโลกในอดีตอันน่าอัศจรรย์ใจ
หลังจากนั้นภาพสเก็ตนครลับแลแห่งนี้ก็ถูกเผยแพร่ออกไปทั่วโลก
ชาวนาบาเทียน(Nabateans) ต้นตระกูลสายหนึ่งของชนเผ่าเบดูอินเร่ร่อน
คือผู้ครอบครองดินแดนภูเขาหินทรายแห่งนี้
ดั้งเดิมเป็นคนเลี้ยงแกะอาศัยในถ้ำเมื่อปักหลักอยู่นานเข้าก็ขุดภูเขาเป็นบ้าน
ยืนยามเฝ้าแผ่นดินกลางทะเลทรายจนทรงอิทธิพล
กลายมาเป็นผู้ให้ความคุ้มครองแก่กองคาราวานขนสินค้าระหว่างอาณาจักรไอยคุปต์ลุ่มแม่น้ำไนล์กับชุมชนลุ่มน้ำไทกริส-ยูเฟรติสในตะวันออกไกล
ขณะเดียวกันก็แต่งกองคาราวานออกค้าขายในเส้นทางนี้ด้วย
ประสบการณ์ที่ผ่านพบนำพาอารยธรรมใหม่ๆเข้าสู่เพตรา
ทั้งในเรื่องการจัดระเบียบชุมชน การใช้เทคโนโลยีในการก่อสร้างที่อยู่อาศัย
ชนเผ่าโบราณนี้มีภูมิปัญญาเป็นเลิศ พวกเขาสามารถสร้างท่อต่อน้ำจากแหล่งกำเนิดใต้ดินที่ห่างไกลออกไปเข้ามาใช้ในตัวเมืองจนสร้างโอเอซิสเทียมกลางทะเลทรายขึ้นมาได้
ทั้งยังสามารถควบคุมระบบน้ำแบบครบวงจรด้วยการสร้างเขื่อนและระบบระบายน้ำแก้ปัญหาเรื่องน้ำท่วมและน้ำแล้งได้อย่างดี
พวกเขาเป็นยอดฝีมือแห่งการสลักเสลาบ้านถ้ำให้กลายเป็นทิพยสถานวิหารแห่งเทพและสุสานฝากวิญญาณได้งามอย่างน่าอัศจรรย์
โดยผสมผสานศิลปกรรมแบบอียิปต์ กรีก และโรมันเข้าด้วยกันเป็นงานศิลปกรรมแบบนาบาเทียนที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นไม่เหมือนใคร
ในเวลาต่อมาเพตราจึงกลายเป็นศูนย์กลางการค้าขนาดใหญ่ และเจริญรุ่งเรืองอย่างมากในช่วง
500-300 ปีก่อนคริสต์กาล
กระทั่งจักรวรรดิโรมันอันเกรียงไกรแผ่อำนาจมาครอบครองดินแดนนี้ได้ในปี
ค.ศ.106 เพตรายุคนาบาเทียนก็ล่มสลายและถูกแทนที่ด้วยวัฒนธรรมโรมันที่มีโรงละครรูปอัฒจันทร์เป็นเอกลักษณ์ให้ประจักษ์แจ้ง
กระนั้นก็ไม่มีอารยธรรมใดยืนยงคงกระพันชั่วกัลปาวสาน เมื่อโรมันถึงยุคเสื่อมในหลายร้อยปีต่อมานครหินแห่งนี้ก็กลายเป็นเมืองร้าง
วิหารศักดิ์สิทธิ์กลายเป็นที่อยู่ของพวกเบดูอินร่อนเร่
และเป็นเป้าให้ถูกรื้อค้นทำลายด้วยความเชื่อที่ว่าข้างในวิหารและสุสานเหล่านั้นคือขุมสมบัติของเหล่าจักรพรรดิและผู้ปกครอง
แต่เทือกเขาหินทรายอันสลับซับซ้อนคือกำแพงธรรมชาติชั้นดีที่เป็นปราการปกป้องไม่ให้นครศิลาถูกทำลาย
ประกอบกับเหตุแผ่นดินไหวและพายุทรายได้ทับถมฝังเมืองให้จมอยู่ท่ามกลางสุสาน เพตราจึงยังอยู่ในสภาพที่ค่อนข้างดี
มิใช่นครร้างที่เต็มไปด้วยซากปรักหักพัง
การเสาะหาขุมทรัพย์ของนักล่าสมบัติหลายยุคหลายสมัยคือจุดเริ่มต้นไขปริศนานครสีกุหลาบแห่งนี้
เมื่ออดีตที่ถูกกลบฝังถูกขุดขึ้นมาใหม่
เพตราจึงอวดโฉมงามให้ชาวโลกตะลึงงันกับงานสลักหินอลังการของนครศิลาโบราณเพียงแห่งเดียวในโลกที่เหลืออยู่
อาคารทุกหลังในอาณาบริเวณนครเพตรา ล้วนแต่สลักลึกเข้าไปในแผ่นภูผา
ไม่มีหลังไหนเป็นอาคารลอยตัวเลย
ชาวโลกยุคเราจึงพร้อมใจกันโหวตผ่านอินเทอร์เน็ตให้เพตราเป็นหนึ่งใน
7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่
.....
ในเวลาเพียงไม่กี่ปีที่รัฐบาลจอร์แดนบูมการท่องเที่ยวที่นี่
โดยเฉพาะหลังจากขึ้นทะเบียนเป็นเมืองมรดกโลกในปี1985
ผู้คนมากมายต่างหลั่งไหลมาที่นี่จนยากที่จะควบคุมไม่ให้คนผ่านทางมือบอนเข้าไปปีนป่ายขีดเขียนจารึกซุกซน
เป็นผลให้หน่วยรักษาความปลอดภัยในเพตราต้องขี่ม้าคอยสอดส่องตรวจตราอยู่ทั้งวัน
ผิดกับตอนที่ฉันไปเยือนเมื่อสิบกว่าปีก่อนผู้คนยังน้อยบางตา
เพราะเวลานั้นยังไม่มีเรื่องราวของ “สิ่งมหัศจรรย์” มาเกี่ยวข้อง
เราเดินผ่านเข้าไปใน Siq ซึ่งเป็นช่องแคบคดเคี้ยวระหว่างหลืบหิน เงียบดิ่งจมภวังค์ราวการจาริกแสวงบุญ
และทุกคนตั้งจิตรอคอยสิ่งเดียวกันคืออาคารมหาสมบัติ Al Khazneh ที่ตั้งตระหง่านรอคอยอยู่สุดทางเดิน
ใครๆก็เรียกอาคารหลังแรกนี้ว่า The
Treasury ราวกับมันเป็นห้องมหาสมบัติอันมิอาจประเมินค่า แต่แท้จริงมันคือสุสานและคลังมหาสมบัติแห่งคุณค่าความงามในตัวมันเอง
เป็นสุสานที่ว่างเปล่าในปัจจุบันแต่เต็มไปด้วยเรื่องลี้ลับมากมายในยุคที่มันเคยรุ่งเรือง
จึงไม่แปลกที่มันถูกจอร์จ ลูคัสใช้เป็นฉากสำคัญคือ Holy Temple ที่ซ่อนจอกศักดิ์สิทธิ์ในการถ่ายทำภาพยนตร์ชุดผจญภัยของอินเดียน่า
โจนส์ ตอน Indiana Jones and the Last Crusade ที่นำแสดงโดยแฮริสัน
ฟอร์ด และหนังเรื่องนี้ก็ดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนมหาศาลเข้ามาดูที่ซ่อนจอกศักดิ์สิทธิ์ให้เห็นกับตาตัวเอง
เพตราจะงดงามที่สุดยามอรุณเรืองตอนเช้าตรู่และเมื่อแดดอ่อนตอนเย็นใกล้อาทิตย์อัศดง
เพราะแสงสีส้มละมุนจะสาดส่องต้องหน้าผาหินมลังเมลืองราวกับทองทาบทา
ประกายเรืองนั้นจะดึงเอางานสลักเสลาอาคารหินอันอ่อนช้อยให้อวดความงามออกมาได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ
แดดสวยยามบ่ายแก่ในมุมที่ลอดผ่านช่องหินเข้าไปในหลืบถ้ำจะขับสีแดงแก่ก่ำและชมพูกุหลาบเก่าของชั้นหินฉ่ำหวานไล่โทนสลับสีราวกับมีมือวิเศษของจิตรกรไปสรรค์สร้างไว้
เมืองหินแห้งแล้งแสนจะอ้างว้างกลางทะเลทราย
งามเหลือเชื่ออยู่ท่ามกลางความร่วงโรยผ่านกาลเวลา และเราเพียงแค่ผ่านทางมาเป็นประจักษ์พยานร่องรอยความยิ่งใหญ่ที่ล่มสลายแล้ว
เพื่อจะบอกย้ำเตือนตนว่า
ไม่มีสิ่งใดในดาวดวงนี้คงทนถาวร ไม่มีชีวิตใดเป็นอมตะนิรันดร์กาล
...
หมายเหตุ : ภาพประกอบหายไปเกือบหมด เนื่องจากถ่ายภาพอด้วยกล้องฟิล์มและอัดรูปไว้หาอัลบั้มไม่เจอ เหลือเพียงเท่าที่เห็น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น