กราบเรียน ฯพณฯ พลเอกประยุทธ์
จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
เรื่อง
ขอให้สอบสวนขบวนการสร้างเขื่อนฮุบที่ดินริมทะเลศรีราชาเอื้อกลุ่มทุน
สืบเนื่องมาจากหนังสือร้องเรียนฉบับที่
๑ ตามลิงค์ข้างล่างนี้
ขอขยายความเพิ่มเติมเพื่อความกระจ่างยิ่งขึ้น
ดังนี้
๑.ในอดีตของเมืองศรีราชาซึ่งเป็นเมืองน่าอยู่
เป็นที่ตั้งของพระจุฑาธุชราชฐาน พระราชวังในสมัยรัชกาลที่ ๕ (เกาะสีชัง)
สำหรับประทับแรมทางทะเล เป็นชุมชนชายทะเลโบราณ รอบอ่าวเป็นที่ตั้งหมู่บ้านประมงริมฝั่งทะเลอยู่อาศัยมานานหลายร้อยปี โดยจะมองเห็นเกาะลอยเด่นสง่ามีสะพานเป็นตัวเชื่อมแผ่นดินกับตัวเกาะ
เห็นเรือนน้ำแหลมฟานของท่านเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี(ปัจจุบันคือร้านอาหาร Grand seaside) และสภาพชุมชนชาวทะเลยังเป็นแบบดั้งเดิมตามวิถีชีวิตของคนท้องถิ่น
๒. จนกระทั่งเมื่อวันที่ ๒ พฤศจิกายน
๒๕๕๕ นายพงษ์ศักดิ์ ปรีชาวิทย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรีเป็นประธานในที่ประชุมเห็นชอบอนุญาตเอกชน
บริษัทเดอะสุพีเรีย โฮลดิ้ง จำกัด ให้สร้างท่าเทียบเรือบริเวณหน้าดินกรรมสิทธิ์ของบริษัทไมโคคลอรีน
จำกัด ซึ่งบริเวณใกล้เคียงนั้นเป็นชุมชนชาวประมงที่ประกอบอาชีพเลี้ยงหอยแมลงภู่และทำประมงชายฝั่งมาช้านาน
๔. ตอนเริ่มโครงการสร้างเขื่อนซึ่งใช้งบประมาณที่เป็นภาษีอากรของรัฐ มีการเร่งทำงานทั้งกลางวันและกลางคืนเพื่อหนีน้ำทะเลขึ้นลงตามธรรมชาติ ดึกดื่นเพียงใดถ้าน้ำลงก็ต้องรีบทำไม่คำนึงถึงมลพิษทางเสียงที่จะรบกวนชาวบ้านที่ต้องพักผ่อนตอนกลางคืนจากเสียงรถปูนเข้าออกในที่ของกลุ่มทุนที่ได้รับประโยชน์จากการสร้างเขื่อนดังกล่าว เมื่อชาวบ้านสอบถามไปทางสำนักงานเทศบาล ทางเทศบาลก็ตอบแบบเขลาๆ ว่าไม่รู้เรื่อง เป็นโครงการของทางจังหวัด สอบถามไปยังกรมเจ้าท่า ชลบุรี ทางหน่วยงานก็บอกว่าไม่รู้ ไม่ได้อนุญาต
๕. แต่ในที่สุดการก่อสร้างได้เริ่มขึ้นด้วยการเทฐานราก
ฝังตอม่อ ถมดินลงไปในทะเลตามแนวเขื่อนที่ปักเสาไว้ในทะเลทำให้เจ้าของที่ดินได้พื้นที่เพิ่มยื่นยาวออกไปจนชนแนวเขื่อนกันคลื่น
และไม่เพียงเท่านั้นปัญหาที่ส่งผลกระทบผิดธรรมชาติตามมาคือ โดยปกติคลื่นจะสลายไปเอเป็นเช่นนี้มางตามวิถีคลื่นลมเนิ่นนาน
แต่ตอนนี้คลื่นที่ซัดมากระทบกับตอม่อเขื่อนได้สะท้อนกลับไปกระทบเสาบ้านของชาวบ้านบริเวณแหลมฟาน
ทำให้เสาบ้านได้รับความเสียหายจำนวนมาก ชาวบ้านจึงรวมตัวกันร้องเรียนไปยังศูนย์ดำรงธรรม
จ. ชลบุรี ซึ่งท่านผู้ว่าฯได้ส่งโยธาจังหวัด นายอำเภอศรีราชา กรมเจ้าท่า
ให้ลงมารับเรื่องร้องเรียน
๖.ปัจจุบันการก่อสร้างเขื่อนดำเนินการแล้วเสร็จ
ทั้งที่ไม่มีหน่วยราชการใดยอมรับว่าได้อนุญาตให้ก่อสร้าง แต่กลับผลาญเงินงบประมาณของจังหวัดไปเรียบร้อยแล้ว
และผลที่ได้คือการเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มนายทุนอย่างชัดเจน โดยขณะที่ถมดินทำเขื่อนนั้น
เอกชนได้รีบเร่งก่อสร้างโครงการคอนโดมิเนียม “มารีน่า เบย์ ฟร้อน”
ซึ่งเปิดขายจนเกือบจะร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว ส่วนที่ดินงอกบริเวณติดกับแนวเขื่อนกันคลื่น ทางเอกชนได้เผยแพร่เอกสารการขายว่าจะสร้างเป็นโรงแรมโนโวเทลศรีราชา
ซึ่งขณะนี้กำลังศึกษาโครงการอยู่
เข้าใจว่าอยู่ระหว่างขออนุมัติให้ผ่านกฎหมายด้านสิ่งแวดล้อม
๗.
ข้อสงสัยที่ต้องไขความกระจ่างคือ เดอะสุพีเรียโฮลดิ้ง ฝ่ายเอกชนเป็นผู้สร้างท่าเรือเพื่อประโยชน์ของบริษัทในปี
๒๕๕๕ แต่ต่อมาในปี ๒๕๕๗ ทางจังหวัดชลบุรีกลับใช้งบประมาณท้องถิ่นสร้างเขื่อนกันคลื่นเพื่อต่อเชื่อมระหว่างสะพานเทียบเรือเอกชนที่สร้างเสร็จกับสถานที่ตั้งคอนโดมิเนียมที่กำลังดำเนินการอยู่
๘.
การถมดินในทะเลตามแนวกันคลื่นได้ขยายหน้าดินของเอกชนให้มีข้ออ้างที่จะสร้างอาคารสูงชิดติดทะเลหลังใหม่ได้อีก
คือ โครงการโรงแรมโนโวเทลสูง ๒๘ ชั้น เรื่องนี้ถูกต้องชอบธรรมหรือไม่
เพราะการถมดินและการสร้างเขื่อนใช้เงินภาษีประชาชน ขอความกรุณาให้
สตง.เข้าไปตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าวด้วย
๙. ขอให้ตรวจสอบการก่อสร้างโครงการมารีน่า
เบย์ ฟร้อนท์ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นตึกสูงถึง ๓๒ ชั้น
อยู่ติดทะเลเกือบชิดแนวเขื่อน(ตามภาพในโบรชัวร์) เป็นทัศนียภาพอุจาดทำลายภูมิทัศน์อ่าวศรีราชาอย่างชัดเจนนั้นได้รับอนุญาตให้ผ่านกฎ
EIA มาได้ถูกต้องชัดเจนตามมาตรฐาน
EIA ,EHIA หรือไม่ หากมีการร่วมกันกระทำทุจริต
ขอให้ดำเนินการคืนความสุขและความเป็นธรรมในสังคมต่อชาวเมืองศรีราชด้วย
จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา
ด้วยความเคารพอย่างสูง
นางสาวสุมิตรา จันทร์เงา
๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๘
















ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น