วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ฉันรักราษฎร์บูรณะ

        รู้สึกว่าบุญนำกรรมส่งมากที่ได้มาใช้ชีวิตริมแม่น้ำตามที่ใฝ่ฝัน และได้อยู่ใกล้วัดแจงร้อน ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่มีมาตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนปลาย เป็นวัดเล็กๆ มีโบสถ์และวิหารศิลปะอยุธยาสัดส่วนสวยงามขนาดกำลังดีที่รักษาสภาพดั้งเดิมมาแต่ไหนแต่ไร กับกุฏิพระเป็นเรือนไม้ไม่กี่หลัง อาณาบริเวณกว่าครึ่งของวัดอุทิศให้เป็นพื้นที่ป่าริมน้ำเขียวชอุ่ม         




อาจเป็นเรื่องของวงจรการย้อนกลับ เมื่อ ๕๐ กว่าปีก่อน สมัยพ่อยังเป็นตำรวจน้อยที่กองพลาธิการ เช่าบ้านอยู่แถวสำเหร่ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา แม่อุ้มท้องฉันใช้ชีวิตอยู่ริมฝั่งน้ำ พอลูกเกิดได้ไม่กี่เดือนพ่อกับแม่ก็อพยพย้ายถิ่นฐานจากเจ้าพระยาไปรับราชการตั้งรกรากอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขง เลี้ยงดูเด็กเจ้าพระยาให้เติบโตขึ้นที่นั่น อยู่ใกล้ชิดกับวัดพระธาตุพนม ปูชนียสถานที่มีมาตั้งแต่พ.ศ.๘ ดังนั้น วัฒนธรรมริมฝั่งน้ำจึงหล่อหลอมโอบอุ้มคุ้มชีวิตมาตลอด




และในที่สุด...อาจเป็นเสียงเพรียกของแม่น้ำ ที่นำพาตัวเองกลับมาสู่ถิ่นเดิม เพราะไม่ว่าจะเป็นทะเลหรือภูเขาก็ไม่อาจสู้มนต์ขลังอันทรงพลังของสายน้ำได้
โลกที่นี่สงบเงียบ งดงาม ร่มเย็นมาก แต่ก็มีเรื่องราวใหม่ๆให้เรียนรู้ทุกวัน สภาพบ้านตึกแทบไร้ความหมายในเรื่องความอึดอัด เพราะริมน้ำโล่งกว้างไกลสุดสายตา มีที่ให้เดินเที่ยวเล่นได้มากมายอยู่รายรอบ ดีกว่าตอนอยู่หมู่บ้านจัดสรรใหญ่เสียอีก

...


สำหรับฉัน ราษฎร์บูรณะคือชายขอบมหานครประดุจสวรรค์น้อยๆสำหรับคนที่ยังอยากมองเห็นเมืองและสามารถใช้ชีวิตอยู่กับมันได้แต่ไม่จำเป็นต้องเอาตัวไปอยู่ในใจกลางความยุ่งเหยิงของเมือง
มองจากท่าน้ำของวัดแจงร้อนขึ้นไปบนตึกซึ่งอยู่ติดวัดเลย มีคลองแจงร้อนคั่น กลุ่มต้นไม้เขียวๆพวกนี้คือต้นลำพู มีต้นโกงกางแซมอยู่แน่นหนา ร่มครึ้มมาก น่าจะมีหิ่งห้อย แต่ไม่เคยเข้าไปในวัดตอนกลางคืนเพราะมืดมาก
ถึงแม้บ้านใหม่รั้วจะอยู่ติดกับวัดแจงร้อน แต่กว่าจะซอกซอนเข้าไปถึงบริเวณวัดก็ไม่ง่ายเพราะอยู่ลึกในตรอกแคบเล็ก สู้มองจากตึกไม่ได้ เห็นท่าน้ำของวัดเขียวชะอุ่ม สงบมาก ไม่ค่อยมีใครเข้าไปใช้นัก เป็นบ้านของนกที่ส่งเสียงเซ็งแซ่ทั้งเช้าเย็น




วันที่เดินลัดเลาะเข้าไปจนถึงริมน้ำของวัดพบว่าทางวัดกันที่ชายน้ำไว้ราวไร่สองไร่ปลูกต้นไม้ใหญ่มากทิ้งไว้เป็นป่ารก(ในภาพมองไม่เห็น) คงตั้งใจให้เติบโตไปตามธรรมชาติเช่นนั้น แต่อาณาบริเวณของวัดโดยรวมสะอาดสะอ้านมาก

คงด้วยเหตุนี้จึงมีนกหนูสัตว์เล็กสัตว์น้อยอาศัยอยู่มากมาย เป็นอานิสงส์ช่วยผ่อนคลายความแข็งกระด้างของตึกสูงได้มาก ทุกเช้าเมื่อเปิดประตูระเบียงออกไปจึงได้ยินเสียงนกเซ็งแซ่ไม่ต่างจากเสียงคุ้นเคยที่บ้านเก่า ถือว่าสภาพแวดล้อมไม่ได้ด้อยไปกว่าบ้านเดิมนัก




ที่สนุกกว่าก็คือตอนกลางคืน เมื่อออกไปนั่งเล่นริมน้ำเจ้าพระยา นอกจากจะได้รับลมเย็นชื่นใจ ได้ความสงบภายในแล้วยังได้เห็นนกแสกหรือนกเค้าแมวที่อาศัยในป่าของวัดมาบินเล่นโฉบไปมาเหนือน้ำด้วย วันก่อนเห็นตัวหนึ่งโตเกือบเท่าแม่ไก่ ตกใจเลย
สรุปก็คืออยู่ที่ไหนก็ได้ถ้าหัวใจเบิกบาน จริงไหมคะ
และอยากให้วัดปลูกป่ามากกว่าปลูกตึกแบบที่วัดแจงร้อนทำเป็นตัวอย่าง จะได้ไหม?
พุทธศาสนิกชนลองเปลี่ยนการทำบุญจากสร้างโบสถ์ วิหาร กำแพง ศาลามาเป็น"สร้างป่า" ให้วัดจะได้ไหม?        
...


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น