วันอาทิตย์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

JR-WEST : หนึ่งอิ่ม หนึ่งงีบ หนึ่งทะเล


“หนึ่งอิ่ม หนึ่งเมา หนึ่งทะเล”
เป็นม็อตโต้เฉพาะตัวของการท่องเที่ยวแบบ “เล็ก ใบเมี่ยง” ที่เป็นตำนานระหว่างตัวเขากับเพื่อนพ้องเมื่อสิบกว่าปีก่อน มีจุดเริ่มจากการขายสร้อยคอหนัก 1 บาท เพื่อเป็นค่ายังชีพ 3 คืน 4 วันที่เกาะเสม็ด สร้างความทรงจำแสนงามกลายมาเป็นต้นแบบของการเที่ยวแบบ 1 อิ่ม 1 เมา 1 ทะเล เรื่อยมา
          หนึ่งอิ่มฯทริปล่าสุดของเล็ก มีจุดหมายปลายทางที่ฮอยอัน และเป็นที่มาของหนังสือเล่มน้อยเล่มแรกของชีวิตชื่อ “ฮอยอันหวานเย็น”
...ที่นั่น...เขาหย่อนจดหมายใส่ขวดเบียร์โยนลงแม่น้ำทูโบน หวังว่ามันจะไหลล่องไปออกที่ทะเลจีนใต้ วกเข้าอ่าวไทย แล้วมาเกยฝั่งที่หาดแสงเทียน เกาะเสม็ด
เขาจึงนัดรวมพลสาวกหนึ่งอิ่มฯ อีกครั้งที่จุดเริ่มต้นเกาะเสม็ด เพื่อไปร่วมกันอ่านจดหมายฉบับนั้นเป็นการปิดแมตช์  “1 อิ่ม 1 เมา 1 ทะเล #finale ”

          จู่ๆฉันก็นึกถึง “เล็ก ใบเมี่ยง” เมื่อขบวนรถไฟสีม่วงเคลื่อนผ่านย่านสะพานพระราม 6 บ่ายหน้าลงสู่ภาคใต้กลางฝนปรอย ขณะที่พนักงานบนรถไฟเสิร์ฟ ชา กาแฟ และของว่างซึ่งมีทั้งปาท่องโก๋จิ้มนมข้นและขนมสอดไส้ในห่อใบตองเล็กๆ
            “อย่าเพิ่งทานมากนะคะ เก็บท้องไว้รอข้าวต้มปลากระพงสุดอร่อยจากพ่อครัวพิเศษของการรถไฟด้วย หากินที่อื่นไม่ได้นะจะบอกให้” เสียงเตือนของเจ้าหน้าที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์แว่วเข้าหู
            คงเป็นเพราะประโยคนี้กระมังที่ทำให้จินตภาพการเดินทางร่วมกับการรถไฟฯหลายครั้งที่ผ่านมาหลากล้นด้วยอาหารโอชารสที่สรรหามาให้ลิ้มชิม ทั้งจากพ่อครัวประจำรถและเมนูเด็ดข้างทางที่คนรถไฟรับประกันเรื่องรสชาติ
            ประกอบกับอารมณ์เบาสบายบนยานพาหนะที่เอื้อให้เราเคลื่อนไหวไปมา เดินเหินได้สะดวก มีเพื่อนร่วมทางที่รู้ใจ คนพูดคุยถูกคอ และกิจกรรมหลากหลายไม่รู้เบื่อ ทำให้ฉันแว่บนึกถึง หนึ่งอิ่ม หนึ่งเมา หนึ่งทะเล พร้อมเสน่ห์เชิญชวนของเกาะเสม็ดขึ้นมาแบบปัจจุบันทันด่วน
            ฟินาเล่ของหนึ่งอิ่มฯที่ย้อนรอยกลับไปสู่จุดเริ่มต้น เป็นส่วนหนึ่งในการปิดฉากอำลาเมืองหลวงของร้าน “ใบเมี่ยง” ย่านวังหิน-โชคชัย 4
เล็กและเมษา คู่สามีภรรยาเต็มอิ่มกับการทำร้านอาหารเวียดนามที่มีดนตรีขับกล่อมยามค่ำคืนจนกลายเป็นแม่เหล็กดึงดูดให้คนเสพเสียงเพลง ศิลปิน นักโฆษณา นักทำหนัง นักเขียน นักร้อง ฯลฯ มาชุมนุมกันจนติดหนึบ จนลูกค้าหลายคนเปลี่ยนมาเป็นเพื่อนเที่ยวและเพื่อนสนิท
ในที่สุดเขาก็ไม่อาจทนต่อเสียงเพรียกจากบ้านเกิดริมฝั่งโขง จังหวัดมุกดาหาร

การกลับบ้านอีกครั้งเพื่อโอบกอดความหลังและฝังตัวอยู่กับมันจนนาทีสุดท้าย เป็นเรื่องไม่ง่ายสำหรับคนที่จากมาหลายสิบปีและมีอนาคตกับทุกสิ่งทุกอย่างที่ชีวิตสร้างไว้ในกรุงเทพฯ
เขาตัดสินใจขายร้านใบเมี่ยง กลับไปตั้งหลักริมแม่น้ำโขงบนที่ดินแปลงเล็กๆซึ่งกำลังจะกลายเป็นโรงแรมแนวคิดใหม่ชื่อ “สะหวันสำราน” ขนาดไม่เกิน 10 ห้องที่รวมเอาความโดดเด่นของร้านอาหารที่เขาเชี่ยวชาญไว้ด้วย
หนึ่งอิ่ม หนึ่งเมา หนึ่งทะเล จึงเป็นเสมือนคำอำลาที่ฝากมาถึงผองเพื่อน เพราะต่อแต่นี้ผืนน้ำในชีวิตของเล็ก ใบเมี่ยง ต้องลดขนาดลงจากห้วงทะเลลึกเหลือเพียงสายน้ำที่ทอดยาวมาจากหลังคาโลก
เขาทำให้ฉันคิดถึงบ้านเกิดและห้วงเวลาที่เราข้ามผ่านมาในจังหวะเดียวกัน คือช่วงลาวแตก แต่เราก็ไม่เคยพบเห็นหรือรู้จักกันมาก่อน ทั้งๆที่อยู่ร่วมในประวัติศาสตร์ยุคเดียวกัน
ถ้าไม่มี “ฮักแพงเมืองลาว” ฉันก็คงจะไม่ได้อ่าน “ฮอยอันหวานเย็น” และไม่รู้ว่าเราต่างก็มาจากวัฒนธรรมริมฝั่งแม่น้ำสายเดียวกัน
...



รถไฟยังไม่พ้นเขตปริมณฑลกรุงเทพฯ หนังท้องหลายคนก็เริ่มตึง หลังจากได้ข้าวต้มปลากระพงฝีมือพ่อครัวเอก ซึ่งชาวรถไฟเล่าว่าเขาเป็นเชฟประจำร้านอาหารดังและวางมือแล้ว แต่ท่านผู้ว่าการฯ “ยุทธนา ทัพเจริญ” ชื่นชอบในฝีมือก็เลยส่งเทียบเชิญให้มาช่วยรับแขกในวาระพิเศษเป็นประจำ
พอเข้าเขตนครปฐมฟ้าเริ่มเปิด อากาศไม่มีเม็ดฝนแล้ว แต่พระอาทิตย์ยังไม่ยอมตื่นนอน โบกี้ปรับอากาศก็เลยเย็นฉ่ำ เรายึดห้องรับประทานอาหารนั่งเอกเขนก เพราะมีเก้าอี้พร้อมโต๊ะนั่งสบายอยู่ฟากหนึ่งกับโซฟาเป็นแถวยาวอีกฟาก สามารถเอนหลังเหยียดแข้งเหยียดขาเหมือนกำลังนั่งเล่นอยู่ที่บ้าน
พออาหารเริ่มทยอยเสิร์ฟไม่หยุด โต๊ะข้างหน้าก็ล้นไปด้วยอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับการกิน กิน และกิน จะลุกหนีไปนั่งที่อื่น เจ้าหน้าที่ก็ยังยกจานตามไปวาง
“หนึ่งอิ่ม” สมบูรณ์แบบจริงๆ
JR-WEST ชุด VIP 3 โบกี้นี้ น่าสนใจตรงความหรูหราสมบูรณ์แบบที่เราไม่เคยมีโอกาสได้เห็นในรถไฟไทยมาก่อน อาจจะเรียกได้ว่านี่เป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของรฟท.ที่กล้าหาญลุกขึ้นมาเปิดตลาดธุรกิจและผู้โดยสารที่มีกำลังซื้อ
กล้าแหวกขนบความโบราณ เชื่องช้า เก่าโทรม  สกปรก ที่เป็นภาพลักษณ์รถไฟไทยมายาวนาน
เว้ากันซื่อๆแบบนี้ อย่าเพิ่งโกรธนะคะ

ตอนนี้กระแสลมเปลี่ยนทิศแล้ว นักการเมืองต่างรุมจับจ้องผลประโยชน์ที่กำลังจะเกิดขึ้นกับโครงการขยายเส้นทางรถไฟทั่วประเทศมูลค่านับแสนล้านบาทตาเป็นมัน ผิดกับยุคที่กระทรวงคมนาคมเมามันอยู่กับการถลุงงบฯขยายถนนหนทาง
เพราะฉะนั้นพวกเราเจ้าของเงินภาษีโปรดช่วยกันจับจ้องและตรวจสอบอย่ากระพริบตา
ไม่รู้ว่าจะมีขบวนการผลักใสไล่ส่งผู้ว่าการฯคนปัจจุบันหรือเปล่า... อะไรก็เกิดขึ้นได้เสมอ...
แต่ถ้าหากมันเกิดขึ้นจริงก็น่าเสียดาย เพราะความเปลี่ยนแปลงแปลกใหม่ทันสมัยของรถไฟไทยที่เราเห็นอยู่เป็นฝีมือของผู้ว่าการคนนี้ โดยเฉพาะการสั่งดัดแปลงโบกี้พิเศษ 3 ตู้แรกของการรถไฟที่พลิกโฉมภาพลักษณ์องค์กรอย่างมโหฬาร ซึ่งแม้แต่คนของรถไฟเองก็นึกไม่ถึง
ขบวนรถวีไอพีชุดนี้เป็นส่วนหนึ่งของการปรับปรุงตู้รถไฟเก่า JR-WEST ที่การรถไฟได้รับมอบมาจากทางญี่ปุ่นตั้งแต่รุ่นแรกเมื่อปี 2540 จนถึงรุ่นสุดท้ายในปี 2551 รวมทั้งหมด 126 คัน
ใน 3 โบกี้หรูนี้ประกอบด้วย ห้องพักส่วนตัวพร้อมห้องน้ำสำหรับซีอีโอหรือกลุ่มผู้บริหารระดับสูง มีห้องนองรองรับได้ถึง 7 คน ห้องประชุมสัมมนาขนาด 24 ที่นั่ง เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ทันสมัยพร้อมจอ LCD สามารถปรับเป็นห้องคาราโอเกะได้ ห้องรับประทานอาหาร บาร์เครื่องดื่ม และโซฟาขนาด 26 ที่นั่ง ห้องพักผ่อนส่วนตัวผู้บริหาร ห้องประชุมเล็ก ที่มีระเบียงท้ายรถให้ออกไปสูบบุหรี่ได้ด้วย
สนนราคาค่าเช่าขึ้นอยู่กับระยะทาง เริ่มต้นที่ประมาณ 1 แสนบาทขึ้นไป
น่าสนใจมากสำหรับการเดินทางแบบกลุ่มใหญ่ๆ ประมาณ 40-50 คน ที่ต้องการจัดกิจกรรมระหว่างทาง ไม่ว่าจะเป็นการประชุม สังสรรค์ หรือการแข่งขันร้องคาราโอเกะ เพราะระบบเสียงดีเขาดีจริงๆ


นอกจากขบวนวีไอพีหรูหรานี้แล้ว การรถไฟยังมีขบวนรถนำเที่ยว NEW–JR–WEST สีม่วงเช่นกัน ที่ติดตั้งเก้าอี้นั่งใหม่ในตู้ปรับอากาศ 2 โบกี้ รวม 112 ที่นั่งสำหรับเดินทางท่องเที่ยวระยะสั้นแบบเช้าไปเย็นกลับ ซึ่งก็ได้รับความนิยมมาก จุดเด่นของรถนำเที่ยวระหัส บชส.ป. 301 กับ บชท.ป.102 ก็คือ ห้องสันทนาการ (คาราโอเกะ) มินิบาร์เครื่องดื่ม ห้องน้ำที่สะอาด ทันสมัย สะดวก กว้างขวางเหมือนห้องน้ำตามโรงแรม แถมระบบแอร์เป็นแบบ AU 13 มีถึง 5 unit ต่อคัน เย็นสบาย เหมาะสำหรับนั่งชมวิวทิวทัศน์ผ่านกระจกใสที่เปิดกว้างรายรอบ
ที่สำคัญระบบเสียงที้ใช้กับรถท่องเที่ยวชุดนี้ออกแบบให้เชื่อมต่อกันได้ระหว่างสองโบกี้ เมื่อมีการพูดของผู้บรรยายในคันหนึ่งคันใด เสียงผู้บรรยายจะดังที่รถทั้งสองคันพร้อมๆกัน และยังมีจอ Monitor ติดตั้งอยู่ในห้องสันทนาการและภายในรถทั้งสองคัน ทำให้เล่นกิจกรรมสนุกๆ ในกลุ่มผู้เดินทางได้เต็มที่ตลอดเส้นทางโดยไม่จำเป็นต้องรอให้ไปถึงเป้าหมาย
นี่คือข้อได้เปรียบที่สุดของการโดยสารรถไฟเทียบกับยานพาหนะอื่นๆ   
ได้ยินมาว่าการรถไฟฯมีนโยบายจะติดตั้งระบบ Internet ส่งสัญญาณผ่าน wireless ไปสู่ผู้โดยสารในไม่ช้านี้ ถ้าเป็นจริงอย่างว่า รับรองว่าคงมีคนแย่งกันเช่า NEW–JR–WEST อุตลุต
....

ข้าวต้มปลากระพงยังจุกอยู่เต็มพุง รถก็ถึงสถานีนครปฐม มีการโหลดอาหารการกินของพื้นถิ่นชื่อดังขึ้นรถไฟอีกรอบ พอล้อเหล็กเคลื่อนต่อ ข้ามหลามจานโตแบบสามสีก็วางเทียบอยู่บนโต๊ะ
เฮ้อ! แต่ก็ต้องชิมค่ะ คนละคำสองคำ เพื่อจะค้นพบว่า ข้ามหลามนครปฐมเริ่มมีวิวัฒนาการดัดแปลงสอดไส้แห้วลงไปในเนื้อข้าวหลามสีฟ้าที่ทำมาจากน้ำดอกอัญชัน ปรุงรสหวานมัน อร่อยมากกก
โบกี้หรูของเรามาจอดนิ่งอีกครั้งที่สถานีหนองปลาดุก แล้วก็จ๊ะเอ๋เข้ากับขบวนที่หรูกว่า ต้องบอกว่าหรูสุดๆในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นี้คือขบวนรถ The Eastern & Oriental Express ที่กำลังจอดรอหลีกอยู่ นับว่าโชคดีมากๆที่ได้เห็นรถขบวนนี้ เพราะไม่ได้เดินรถเป็นเส้นทางประจำ

ดิ อีสต์เทิร์น โอเรียนทัล เอ็กซ์เพรส เดินรถในเส้นทางสิงคโปร์-กรุงเทพฯเพียงปีละไม่กี่ครั้ง เดือนกันยายนมีเพียงเที่ยวเดียวซึ่งก็ผ่านพ้นไปแล้ว ระหว่างวันที่ 8-10 ก.ย. วันที่เราโคจรมาพบกันเป็นวันที่ขบวนรถสุดหรูระดับโลกมุ่งหน้ามาจากบัตเตอร์เวิร์ธ กำลังจะแวะไปชมสะพานข้ามแม่น้ำแควที่กาญจนบุรีเป็นจุดหมายสุดท้ายก่อนเข้าสู่ชานชาลากรุงเทพฯปล่อยผู้โดยสารบินต่อไปยังจุดหมายปลายทางอื่น
แม้เห็นแค่ภายนอกก็รู้สึกได้ถึงความประณีตหรูหราที่ออกแบบมาพร้อมพรั่งระดับเวิลด์คลาสสมกับราคาทัวร์ต่อหัวที่เริ่มตั้งแต่ 2,320-4,770 เหรียญสหรัฐ
ที่หนองปลาดุกนี้เราได้เห็นแม่ค้าสาวๆวิ่งวุ่นส่งข้าวราดแกงในกระทงใบตองเล็กๆเต็มถาดขึ้นขบวนรถวีไอพีของเราโดยมีฝรั่งมุงเต็มโบกี้ชมวิวของดิ อีสต์เทิร์น โอเรียนทัล เอ็กซ์เพรส ยืนมองและถ่ายรูปอย่างสนุกสนาน
รถสองขบวนเคลื่อนผ่านกันไป พื้นที่ในกระเพาะอาหารเต็มขึ้นมาอีกด้วยข้าวแกงหนองปลาดุกที่อร่อยเลิศสมคำร่ำลือ โดยเฉพาะไข่พะโล ผัดเผ็ดปลาดุก และแกงเขียวหวาน

หนึ่งงีบ เดินทางมาหาทุกคนโดยพร้อมเพรียง
เป็นงีบสั้นๆให้อาหารได้ย่อยก่อนที่เราจะได้ไปนั่งชิล ชิล ริมทะเลชะอำในร้านอาหารทะเลโด่งดัง “สังเวียนซีฟู้ด”
อาหารอีก 9 อย่างตอนบ่ายโมงทำให้หลายคนอยากจะนอนกลิ้งอยู่ริมทะเลที่ไม่มีแดด แต่ก็ไร้ฝน เป็นอารมณ์หม่นๆของเมฆสีเทาที่เย้าหยอกกับท้องฟ้าเพลิดเพลินจนพระอาทิตย์งอนตุ๊บป่อง ไม่ยอมฉายแสงให้โลกสวย
แต่ก็ดีที่ไม่ร้อน
ถ้าเป็นความต้องการของมนุษย์ล่ะก็ไม่เคยมีอะไรพอดีบนโลกใบนี้ เราโหยหาแสงอาทิตย์แต่ก็รังเกียจความแรงร้อนของมัน เรารอคอยความชุ่มเย็นจากน้ำฟ้าแต่ก็ก่นด่าฝนตก
หนึ่งทะเล ของทริปนี้จึงเป็นทะเลเหงา
ชะอำ-หัวหินไม่ถึงกับร้างเงาผู้คน แต่ถนนหนทางในหน้าฝนก็โล่งสบาย
ปลายทางที่หัวหินจบลงตรง “เพลินวาน” ที่แฮงก์เอาท์ล่าสุดในบรรยากาศกิจกรรมหาบเร่แผงลอยกึ่งๆงานวัดที่แน่นขนัดไปด้วยผู้คน

“หนึ่งอิ่ม หนึ่งงีบ หนึ่งทะเล” กับ JR-WEST เต็มวัน จบลงด้วยข้าวผัดรถไฟมื้อค่ำภาคบังคับ ก่อนจะปล่อยให้ทุกคนหิ้วพุงบานฉ่ำกลับบ้าน อิ่ม อร่อย แสนสำราญ...

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น