กลางลมแล้งปีก่อน
ผู้หญิงสองคนเคลื่อนที่ไปบนถนนหลวงมุ่งหน้าสู่หุบเขาทางภาคเหนือ
สองฟากฝั่งถนนสะพรั่งไปด้วยต้นคูน
สีเหลืองพราวข้างทางพลิ้วลมกรรโชกผ่าน กลีบเหลืองบางสว่างไสวปลิวคว้างอยู่กลางอากาศ
บ้างร่อนลงเนิบช้า บ้างลอยพรูกรูเกรียวไปตามจังหวะลม
หว่านกลีบหวานอยู่ตามผืนดิน
...
เคยเห็นอะไรที่สวยจนหัวใจทั้งดวงร้าวไหม?
ดอกคูนเหลืองสะพรั่งบีบหัวใจสองดวงแทบปริแตก
เหลืองสวยอะไรอย่างนี้
ใครหนอมาเนรมิตทางหลวงแสนงามไว้ให้ชื่นชมตระการตาในฤดูลมแล้งที่ความร้อนแผดเผาผิวกายแทบไหม้พองแต่สีเหลืองทองไสวกลับอาบหัวใจให้ชุ่มเย็น
นาทีนั้นเพื่อนรวมทางสองคนพลันตระหนักว่าเรื่องราวระหว่างทางน่าสนใจยิ่งกว่าเป้าหมายที่เรากำลังมุ่งหน้าไป
...
นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เราต่างรู้สึกว่ากำลังเดินทางอยู่บนถนนสวยที่สุดสายหนึ่งในประเทศนี้
มีกำแพงดอกไม้โอบล้อมเราไว้ทั้งซ้ายขวา
ผิวจราจรเรียบ ถนนกว้างใหญ่ มีเกาะกลางยาวเหยียดกว่า 300 กิโลเมตร
มีช่วงขึ้นลงเนินให้วัดกำลังรถได้สนุก มีโค้งงามๆให้ชลอคันเร่งรับดงดอกคูนข้างหน้าที่โผล่มาล่อสายตาวิบวิบ
เป็นการขับรถที่สนุก ด้วยความบันเทิงแสนวิเศษ
ทั้งเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างๆ ทั้งวิวนอกหน้าต่างเพลินตาเพลินใจ
โลกใต้ฝ่าเท้าที่เรายืนหยัดอยู่ราวกับมิใช่โลกใบเดิม
...
แต่ละต้น แต่ละพุ่ม แต่ละช่อในกิ่งก้าน สีเหลืองหวานนั้นไม่มีซ้ำเฉด
เป็นสีที่ไม่อาจอธิบายว่าเหลืองของดอกคูนนั้นเป็นเหลืองแบบไหน
เพราะมีทั้งน้ำหนักเข้มข้น มีทั้งความเบาบาง มีทั้งเหลืองอ่อน
เหลืองแก่
เหลืองทองตระการ เหลืองเบิกบาน เหลืองละไม
และเหลืองอะไรบางอย่างที่โปร่งแสง คล้ายโปร่งใส สว่างไสวไปทั้งต้น
ยากนักที่จะหาสีมนุษย์สร้างมาเทียบเทียม
นี่คือดอกไม้ประจำชาติอันทรงเสน่ห์ของเรา
ดอกไม้ที่ไม่เคยผิดนัดกับฤดูร้อน
ไม่เคยฟูมฟายกับฝนแล้งหรือน้ำหลาก
เมื่อถึงเวลาก็ปลิดใบทิ้งต้น
ปล่อยสายสร้อยระย้าผลิดอกไสว
เหลืองละลานตาพลิ้วปีกรำเพยลม
ปีนี้น้ำฟ้ามาทักทายพร้อมสายลมร้อน
เราจึงเห็นคูนแตกใบเขียวอยู่เคียงกับดอกพราวแปลกตา กลีบดอกที่เข้มก็คล้ายจะอ่อนจางลง
น้ำ ดิน ลม แดด ไม่เคยบิดพริ้วต่อหน้าที่ของตัวเอง
ยังเป็นตัวแปรสำคัญต่อสัญญาณชีพของสิ่งมีชีวิตทุกระดับสกุล
ชั่วขณะหนึ่ง ฉันรู้สึกขอบคุณผืนพิภพที่สร้างโลกให้งามตระการได้เพียงนี้
...
กำแพงสีเหลืองสองฟากฝั่งถนนแน่นขนัดสวยงามที่สุดช่วง 50
กิโลเมตรสุดท้ายก่อนเข้าสู่ตัวเมืองเพชรบูรณ์
เราจอดรถเป็นระยะเพื่อชื่นชมสีสันเหล่านั้น
ออกไปยืนสูดสายลม ชมแสงแดดที่ไล้อยู่ตามพื้นผิวของทุกสิ่ง
โดยเฉพาะบนพวงระย้าของดอกคูน
แดดใสแต่ไม่ร้อนจัด ลมแล้งปีนี้ไม่อ้าวแบบที่เคยรู้สึก
อาจจะเป็นเพราะฝนมาเร็วเหลือเชื่อ
บางคนบอกว่าโลกกำลังส่งสัญญาณเตือนบางสิ่งบางอย่างถึงความวิปริตแปรปรวนที่เกิดขึ้น
แต่ “ราชพฤกษ์” เหลืองละออก็ยังชูช่อตามรอบฤดูกาลเป็นปกติของมัน
ยืนอยู่ริมทาง ต้นไม้สีหวานที่ห่มคลุมเราส่ายไหวโยนกิ่งไปมาในสายลม
กลีบบางเบาราวกับไร้น้ำหนักเคลื่อนตัวร่อนต่ำราวสายฝนโปรยปราย หว่านสายสีทองพรูพรั่งพรมผิวกระด้างของผืนดิน
บางส่วนหล่นอยู่แถวใต้โคนต้น บ้างติดอยู่ตามปลายยอดหญ้า
เหมือนใครมาโปรยทองทาเอาไว้
พอเครื่องจักรสี่ล้อเคลื่อนผ่าน แผ่นทองสีเหลืองหม่นก็ฟุ้งกระจาย
ลอยฟ่องไปตามแรงเป่า
ลอยลมแล้วหล่นร่วง รอบแล้วรอบเล่า
...
เสียดายนัก เสียดายดอกลมแล้ง
ราชพฤกษ์เป็นต้นไม้ประจำชาติไทยแท้ๆแต่เราไม่เคยสร้างเรื่องราวใดของไม้สวยต้นนี้ให้ผูกพันอยู่กับวิถีชีวิตผู้คนในชาติเลย
ทำไมเราไม่มีเทศกาลดอกคูนบานให้คนทั้งหมู่บ้านออกมากินดื่มเฉลิมฉลองกันเอิกเกริกเหมือนกับที่ชาวญี่ปุ่นแห่แหนกันออกไปชมดอกซากุระที่บานเพียงปีละไม่กี่วัน
ทำไมผู้มีอำนาจของประเทศนี้ไม่หาที่ทางในเมืองใหญ่ปลูกต้นไม้ประจำชาติให้เป็นป่าดอกคูนนับหมื่นนับแสนต้นที่บานสะพรั่งอยู่กลางเมืองพร้อมกันเป็นดงบ้าง
สีเหลืองเบิกบานของดอกคูนมิได้ด้อยความงามไปกว่าซากุระเลย
เมื่อถึงเวลาก็ทิ้งใบทะยอยบาน สะพรั่งต้น แถมบานนานบานทนจนลืม
แปลกนัก แปลกจริงๆ เราต่างแข่งกันเฟ้นหาคำขวัญและสัญลักษณ์ต้นไม้ประจำจังหวัด
ประจำสถาบัน ฯลฯ มากมายก่ายกองแต่กลับมิได้ตระหนักในเนื้อแท้คุณค่าของสิ่งเหล่านั้น
...
ท้ายที่สุดลมแล้งของปีนี้ก็จะพัดผ่านไป
เปิดทางให้ลมฝนกรรโชกซัดในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
ดอกลมแล้ง เมื่อถึงอายุขัยก็จะลาโรย
ค่อยๆปลดสายสร้อยหลุดร่วงออกจากก้านกิ่ง
นี่คือสิ่งที่โลกเพียรสอน
สรรพชีวิตไม่จีรังยั่งยืน
ดอกไม้บานแล้วโรย ชีวิตเกิดแล้วแล้วดับ
เป็นธรรมดา
...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น