วันอาทิตย์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ดอกลมแล้ง



กลางลมแล้งปีก่อน
ผู้หญิงสองคนเคลื่อนที่ไปบนถนนหลวงมุ่งหน้าสู่หุบเขาทางภาคเหนือ
สองฟากฝั่งถนนสะพรั่งไปด้วยต้นคูน  
สีเหลืองพราวข้างทางพลิ้วลมกรรโชกผ่าน กลีบเหลืองบางสว่างไสวปลิวคว้างอยู่กลางอากาศ
บ้างร่อนลงเนิบช้า บ้างลอยพรูกรูเกรียวไปตามจังหวะลม
หว่านกลีบหวานอยู่ตามผืนดิน
...

เคยเห็นอะไรที่สวยจนหัวใจทั้งดวงร้าวไหม?

ดอกคูนเหลืองสะพรั่งบีบหัวใจสองดวงแทบปริแตก
เหลืองสวยอะไรอย่างนี้  ใครหนอมาเนรมิตทางหลวงแสนงามไว้ให้ชื่นชมตระการตาในฤดูลมแล้งที่ความร้อนแผดเผาผิวกายแทบไหม้พองแต่สีเหลืองทองไสวกลับอาบหัวใจให้ชุ่มเย็น
นาทีนั้นเพื่อนรวมทางสองคนพลันตระหนักว่าเรื่องราวระหว่างทางน่าสนใจยิ่งกว่าเป้าหมายที่เรากำลังมุ่งหน้าไป
...


นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เราต่างรู้สึกว่ากำลังเดินทางอยู่บนถนนสวยที่สุดสายหนึ่งในประเทศนี้
มีกำแพงดอกไม้โอบล้อมเราไว้ทั้งซ้ายขวา
ผิวจราจรเรียบ ถนนกว้างใหญ่ มีเกาะกลางยาวเหยียดกว่า 300 กิโลเมตร
มีช่วงขึ้นลงเนินให้วัดกำลังรถได้สนุก มีโค้งงามๆให้ชลอคันเร่งรับดงดอกคูนข้างหน้าที่โผล่มาล่อสายตาวิบวิบ
เป็นการขับรถที่สนุก ด้วยความบันเทิงแสนวิเศษ ทั้งเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างๆ ทั้งวิวนอกหน้าต่างเพลินตาเพลินใจ
โลกใต้ฝ่าเท้าที่เรายืนหยัดอยู่ราวกับมิใช่โลกใบเดิม
...

แต่ละต้น แต่ละพุ่ม แต่ละช่อในกิ่งก้าน สีเหลืองหวานนั้นไม่มีซ้ำเฉด
เป็นสีที่ไม่อาจอธิบายว่าเหลืองของดอกคูนนั้นเป็นเหลืองแบบไหน
เพราะมีทั้งน้ำหนักเข้มข้น มีทั้งความเบาบาง มีทั้งเหลืองอ่อน เหลืองแก่
เหลืองทองตระการ เหลืองเบิกบาน เหลืองละไม
และเหลืองอะไรบางอย่างที่โปร่งแสง คล้ายโปร่งใส สว่างไสวไปทั้งต้น
ยากนักที่จะหาสีมนุษย์สร้างมาเทียบเทียม

นี่คือดอกไม้ประจำชาติอันทรงเสน่ห์ของเรา

ดอกไม้ที่ไม่เคยผิดนัดกับฤดูร้อน
ไม่เคยฟูมฟายกับฝนแล้งหรือน้ำหลาก
เมื่อถึงเวลาก็ปลิดใบทิ้งต้น
ปล่อยสายสร้อยระย้าผลิดอกไสว
เหลืองละลานตาพลิ้วปีกรำเพยลม



ปีนี้น้ำฟ้ามาทักทายพร้อมสายลมร้อน เราจึงเห็นคูนแตกใบเขียวอยู่เคียงกับดอกพราวแปลกตา กลีบดอกที่เข้มก็คล้ายจะอ่อนจางลง
น้ำ ดิน ลม แดด ไม่เคยบิดพริ้วต่อหน้าที่ของตัวเอง
ยังเป็นตัวแปรสำคัญต่อสัญญาณชีพของสิ่งมีชีวิตทุกระดับสกุล
ชั่วขณะหนึ่ง ฉันรู้สึกขอบคุณผืนพิภพที่สร้างโลกให้งามตระการได้เพียงนี้
...

กำแพงสีเหลืองสองฟากฝั่งถนนแน่นขนัดสวยงามที่สุดช่วง 50 กิโลเมตรสุดท้ายก่อนเข้าสู่ตัวเมืองเพชรบูรณ์
เราจอดรถเป็นระยะเพื่อชื่นชมสีสันเหล่านั้น
ออกไปยืนสูดสายลม ชมแสงแดดที่ไล้อยู่ตามพื้นผิวของทุกสิ่ง โดยเฉพาะบนพวงระย้าของดอกคูน
แดดใสแต่ไม่ร้อนจัด ลมแล้งปีนี้ไม่อ้าวแบบที่เคยรู้สึก อาจจะเป็นเพราะฝนมาเร็วเหลือเชื่อ
บางคนบอกว่าโลกกำลังส่งสัญญาณเตือนบางสิ่งบางอย่างถึงความวิปริตแปรปรวนที่เกิดขึ้น

แต่ “ราชพฤกษ์” เหลืองละออก็ยังชูช่อตามรอบฤดูกาลเป็นปกติของมัน

ยืนอยู่ริมทาง ต้นไม้สีหวานที่ห่มคลุมเราส่ายไหวโยนกิ่งไปมาในสายลม
กลีบบางเบาราวกับไร้น้ำหนักเคลื่อนตัวร่อนต่ำราวสายฝนโปรยปราย หว่านสายสีทองพรูพรั่งพรมผิวกระด้างของผืนดิน
บางส่วนหล่นอยู่แถวใต้โคนต้น บ้างติดอยู่ตามปลายยอดหญ้า เหมือนใครมาโปรยทองทาเอาไว้
            พอเครื่องจักรสี่ล้อเคลื่อนผ่าน แผ่นทองสีเหลืองหม่นก็ฟุ้งกระจาย ลอยฟ่องไปตามแรงเป่า
ลอยลมแล้วหล่นร่วง รอบแล้วรอบเล่า
            ...

เสียดายนัก เสียดายดอกลมแล้ง
ราชพฤกษ์เป็นต้นไม้ประจำชาติไทยแท้ๆแต่เราไม่เคยสร้างเรื่องราวใดของไม้สวยต้นนี้ให้ผูกพันอยู่กับวิถีชีวิตผู้คนในชาติเลย
ทำไมเราไม่มีเทศกาลดอกคูนบานให้คนทั้งหมู่บ้านออกมากินดื่มเฉลิมฉลองกันเอิกเกริกเหมือนกับที่ชาวญี่ปุ่นแห่แหนกันออกไปชมดอกซากุระที่บานเพียงปีละไม่กี่วัน
ทำไมผู้มีอำนาจของประเทศนี้ไม่หาที่ทางในเมืองใหญ่ปลูกต้นไม้ประจำชาติให้เป็นป่าดอกคูนนับหมื่นนับแสนต้นที่บานสะพรั่งอยู่กลางเมืองพร้อมกันเป็นดงบ้าง
สีเหลืองเบิกบานของดอกคูนมิได้ด้อยความงามไปกว่าซากุระเลย เมื่อถึงเวลาก็ทิ้งใบทะยอยบาน สะพรั่งต้น แถมบานนานบานทนจนลืม
แปลกนัก แปลกจริงๆ เราต่างแข่งกันเฟ้นหาคำขวัญและสัญลักษณ์ต้นไม้ประจำจังหวัด ประจำสถาบัน ฯลฯ มากมายก่ายกองแต่กลับมิได้ตระหนักในเนื้อแท้คุณค่าของสิ่งเหล่านั้น
...

ท้ายที่สุดลมแล้งของปีนี้ก็จะพัดผ่านไป
เปิดทางให้ลมฝนกรรโชกซัดในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
ดอกลมแล้ง เมื่อถึงอายุขัยก็จะลาโรย ค่อยๆปลดสายสร้อยหลุดร่วงออกจากก้านกิ่ง
นี่คือสิ่งที่โลกเพียรสอน
สรรพชีวิตไม่จีรังยั่งยืน
ดอกไม้บานแล้วโรย ชีวิตเกิดแล้วแล้วดับ เป็นธรรมดา


...

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น