มีเพื่อนรุ่นพี่คนหนึ่งเพิ่งอายุครบ
60 ไปเมื่อสามปีที่ผ่านมา
เธอชื่อ ดร.อีดิธ นามประกาย เป็นซีอีโอ.ของโตโยต้ามุกดาหาร
ที่ได้รางวัลดีลเลอร์ดีเด่นของโตโยต้าต่อเนื่องมาทุกปีจนขี้เกียจจะจำแล้ว
และบัดนี้ธุรกิจส่งต่อมาถึงรุ่นลูกชาย “อนันต์ นามประกาย”
รางวัลนั้นก็ยังติดตามมาเป็นเงาไม่มีตกหล่น
เหตุผลของอายุ 60 เป็นเพียงข้ออ้างที่จะบังคับแกมข่มขู่ให้คนทางกรุงเทพฯหนีฝนไปเยี่ยมเยียนบ้าง
เพราะที่มุกดาหารยังมีมิตรรักอีกหลายคนรอคอยอยู่อย่างจดจ่อ
หลังจากที่เรานัดแล้วรอเก้อกันมาไม่รู้กี่รอบ
ในจำนวนนั้นคือสามีภรรยาสองคู่ พรพัฏ
วิริยะพันธ์-เรวัตร ไกรลาศศิริ กับ เมษา-อัศวิน คงศุภมานนท์
คู่แรกฝ่ายหญิงเป็นผู้บริหารโรงพยาบาลมุกอินเตอร์ฯ
เธอช่วยดูแลกิจการแทนพี่สาว “ประภาศรี สุฉันทบุตร” ซึ่งปักหลักดูแลโรงพยาบาอีกแห่งอยู่ที่ยโสธร
ส่วนฝ่ายชายเป็นนักคิดนักฝันที่ใช้ชีวิตผจญภัยมาครบทุกรส
สุดท้ายเขาเพิ่งจะทดลองปั้นดินสร้างบ้านริมบึงจนสำเร็จ และเฝ้าคอยให้เราไปชมผลงาน
คู่หลังเป็นเจ้าของเสื้อผ้าแบรนด์ “บลู กาย”
และเจ้าของ “ร้านใบเมี่ยง”
ร้านอาหารเวียดนามกึ่งผับอันเคยโด่งดังแถบลาดปลาเค้า-โชคชัย 4
โดยเฉพาะฝ่ายชายเป็นเจ้าของผลงานหนังสือสารคดีชวนอ่านชื่อ “ฮอยอันหวานเย็น” ในนามปากกา
“เล็ก ใบเมี่ยง”
ที่เพิ่งตัดสินใจปิดฉากชีวิตคนเมืองหลวงกลับไปตั้งรกรากที่บ้านเกิดด้วยร้านอาหารใหม่ในประสบการณ์เก่าและเก๋าชื่อ
“ใบเมี่ยงอินมุก”
กิจกรรมเกือบทั้งหมดของเราคือการ กิน ดื่ม
คุย เริ่มตั้งแต่คืนฉลองวันเกิดดร.อีดิธ
ต่อเนื่องไปอีกคืนที่บ้านดินริมบึงพลอยเรืองแสงของเรวัตรกับคุณติ๋ม
จนกระทั่งเย็นย่ำสองสามชั่วโมงสุดท้ายก่อนจะโดดขึ้นรถทัวร์กลับบ้าน ‘เล็ก ใบเมี่ยง’ ก็ยังพาเราไปอำลาอาลัยที่ห้วยสิงห์ อันซีนแห่งเมืองมุกดาหาร
บ้านริมบึงใหญ่เป็นบ้านดินประยุกต์
หลังเล็กๆเรียบง่าย อยู่สบายด้วยการเลือกใช้วัสดุผสมผสาน
แต่หัวใจแห่งความงามของนิวาสถานคือบึงน้ำขนาดใหญ่ในวงล้อมของป่าที่เราต้องฝ่าถนนลูกรังเข้าไปราวสองกิโลเมตร
…
เงียบ ง่าย งาม คือคำจำกัดความสั้นๆของชีวิตที่เคลื่อนไปอย่างเชื่องช้าในแต่ละวัน
เราตั้งใจที่จะทำสิ่งนั้นสิ่งนี้มากมาย แต่ก็อ้อยอิ่งกับสิ่งที่จดจ่อแต่ละอย่างจนเกินเวลา
และถึงกับต้องยกเลิกอะไรต่อมิอะไรที่คิดไว้ตั้งไม่รู้กี่อย่าง
สุดท้ายเราหาอะไรมาปิ้งย่างกินกันที่ริมบึงในวันที่ท้องฟ้ามัวซัวคล้ายจะมีฝน
แต่ทุกคนก็บ่อยั่น เราออกมานั่งล้อมวงกันกลางแจ้ง
และพร้อมที่จะไหลเข้าไปอยู่ใต้ชายคาบ้านที่เปิดวิวโล่งเห็นบึงรอบทิศทาง
ฉันรู้จักกับเพื่อนใหม่อีกคู่หนึ่งที่นี่
ฝ่ายชายเป็นนักการเมืองท้องถิ่น ฝ่ายหญิงประกอบอาชีพอิสระ และพอทุกคนเริ่มคุยกัน 11
ชีวิตก็ถูกคออย่างเหลือเชื่อ
ตอนแรกเจ้าบ้านฝ่ายหญิงกังวลนักหนาว่าค่ำคืนของบ้านป่าที่มีเพียงแสงมัวซัวของไฟไม่กี่หลอดจะเป็นอุปสรรคต่อการปิกนิกของพวกเรา
เธอกลัวจะมองไม่เห็นอาหาร หวั่นว่าความมืดอาจทำให้หลายคนหวาดกลัว
แต่ที่ไหนได้...หลังจากฟ้ามืดสนิท
และหนังท้องเริ่มตึงจากอาหารกระตุ้นห่วงยางรอบพุง ก็เริ่มมีเสียงเรียกร้องหาความมืดจากพวกเราพร้อมกันหลายคน
หลังจากที่ฟ้าเริ่มเปิดทีละน้อยปล่อยแสงดาวออกมาวิบวับเป็นบางจุด
แล้วไฟก็มืดสนิท
...
บรรยากาศรอบตัวเราเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง
คุณติ๋ม-พรพัฏ เจ้าบ้านผู้ไม่เคยถวิลหาความมืดนั่นเองที่ครวญครางออกมาในทันที
โอ้...ดาวทำไมถึงได้สวยงามเช่นนี้
ฉันจะอธิบายฉากนี้อย่างไรดีนะ
ถึงจะหมดจดงดงามอย่างที่จดจำไว้ในดวงใจ
เรานั่งกันอยู่ริมบึงข้างบ้าน มีไม้ใหญ่ร่มครึ้มโอบล้อมอยู่รอบวง
เท่าที่จำได้หนึ่งในนั้นคือต้นส้าน ขนาดคนโอบ ใบใหญ่ยักษ์งามสุดใจ อีกต้นคือมะขาม
ส่วนต้นอื่นๆไม่รู้จักชื่อ เมื่อเราเอนหลังพิงพนักเก้าอี้และมองฟ้าขึ้นไป
ยอดไม้ทั้งมวลก็จะกลายเป็นกรอบรูปล้อมแผ่นฟ้า สร้างเวทีดาวให้เรามอง
แต่ละคน แต่ละทิศ แต่ละมุม
มีจุดนำสายตาแตกต่างกันไป และเมฆบางๆก็ล้อเล่นอยู่กับลมบน
เดี๋ยวเปิดฟ้าเดี๋ยวปิดฟ้าเป็นระยะ แต่ในท้ายที่สุดมวลเมฆก็แพ้พ่ายเปิดแสงดาวพริบพราวระยิบระยับ
ฉันมองลอดเงาไม้ขึ้นไป
เห็นดวงดาวทอดแสงแวววับอยู่ตามช่องใบพราวพราย
“ทำไมพวกเราโชคดีอะไรเช่นนี้ที่ได้เห็นต้นไม้ออกลูกเป็นดวงดาวด้วยกัน”
ฉันหลุดประโยคประมาณนี้ออกมา
ขณะที่คนอื่นก็ปั้นคำเด็ดๆของตัวเองออกมาแลกเปลี่ยนกันในค่ำคืนแห่งความทรงจำ
รวมทั้งวลีที่ทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่าเป็นวรรคทองของความสุขประจำทริปนี้
"ให้มันตายกันไปเลย!"
ดูเหมือนคนที่ ‘อิน’ สุดฤทธิ์สุดเดชกับความสุขความรื่นรมย์ในมิตรภาพก็คือเล็ก ใบเมี่ยง
ผู้มีอารมณ์ละไมกับสิ่งที่มากระทบใจและสามารถปั้นคำได้ทันที
เขาบอกว่า
ฤดูฝนเดินทางมาปีละหน
แต่ฤดูฝันเกิดขึ้นได้ทุกวัน...
เห็นจะจริงของเขา
...
นอกจากดร.อีดิธที่อาวุโสสูงสุดแล้ว
พวกเราที่เหลือล้วนมีวัยใกล้เคียงกันและมีประสบการณ์ร่วมสมัยเดียวกัน คือยุค
“ลาวแตก”
ซึ่งเกิดขึ้นภายหลังจากรัฐบาลสหรัฐเข้ามาตั้งฐานทัพที่อุดรธานีและทหารจีไอเข้ามาสร้างวัฒนธรรมใหม่ในหมู่ชาวอีสาน
บทสนทนาในความมืดสามชั่วโมงแห่งค่ำคืนนั้นจึงเป็นความหลังและประสบการณ์ร่วมว่าด้วยยุคสมัยจีไอล้วนๆ
จีไอ เป็นคำพูดทับศัพท์ที่สมัยยังเด็กฉันไม่เคยสนใจมาก่อนว่ามันหมายถึงสิ่งใด
รู้แต่ว่าเราใช้เรียกทหารอเมริกันที่มาเพ่นพ่านอยู่เต็มเมือง ทั่วอุดรฯ สกลนคร
นครพนม เพิ่งมาหาความหมายเอาตอนโตแล้วถึงได้รู้ว่า G.I. มาจาก “Government Issue” คือ หมายเรียกเข้ารับการเกณฑ์ทหารของชาวอเมริกันให้ไป
ไปรบในสงครามเวียดนาม
ทหารจีไอเริ่มเข้าประจำการในไทยตั้งแต่ปี พ.ศ.
๒๕๐๗ และเริ่มปฏิบัติการอย่างหนักในช่วง พ.ศ. ๒๕๑๐ เป้าหมายเพื่อชนะสงครามเวียดนามรวมทั้งผนวกเอาลาวเข้าไปด้วย
ตามยุทธศาสตร์ต่อต้านคอมมิวนิสต์แบบถอนรากถอนโคน
นักวิชาการที่เคยศึกษาเรื่อง จีไอ
เคยให้คำอธิบายเอาไว้ว่า คนพวกนี้ก็คล้ายกันกับทหารเกณฑ์ของไทยตรงที่เป็นหนุ่มบ้านนอก
การศึกษาค่อนข้างต่ำ ดังนั้นเมื่อมาตั้งฐานที่มั่นในไทยคนกลุ่มนี้ก็เลยเป็นกลุ่มที่เข้ากันได้ดีกับชาวบ้านของเรา
ข้อสังเกตนี้น่าคิด... โดยประสบการณ์ส่วนตัว
ฉันก็ได้เห็นความสนิทสนมกลมกลืนอันนั้นจริง
เรื่องที่เราตั้งวงคุยโยงไปถึงประสบการณ์วัยเด็ก
ถามไถ่แลกเปลี่ยนกันว่าเราจำอะไรได้บ้างจากยุคจีไอ?
เมียเช่า...ใช่...นั่นสิ่งแรกเลยที่เป็นภาพลอยผ่านเข้ามาในหัวฉัน
เมียเช่า ที่สร้างผลผลิต “ข้าวนอกนา” ไว้มากมาย
และข้าวนอกนาเหล่านั้นที่แต่เดิมสังคมจงเกลียดจงชังนักหนา บัดนี้ก้าวผ่านการก่อเกิดสู่สถานภาพใหม่
กลายมาเป็นดารา นักร้อง นางแบบ เซเล็บ ฯลฯ มีชื่อเสียงมากมายตามค่านิยมแห่งยุคสมัยที่เปลี่ยนไป
เช่นเดียวกับผู้หญิงชาวบ้าน ไร้การศึกษา
ไร้อนาคต ที่แต่เดิมยึดอาชีพเป็นเมียเช่าที่ใครๆก็มองเหยียดด้วยหางตานั้น
บัดนี้เธอรับหน้าที่ดูแลผู้ชายต่างชาติด้วยสถานะใหม่ของการเป็นเมียเต็มตัว
มิใช่บริการชั่วคราวอีกแล้ว
และถูกยกย่องให้เป็นคนชนชั้นพิเศษในชุมชนพร้อมกับความรู้สึกชื่นชม “เขยฝรั่ง”
ผู้เป็นสามีที่นำพาความกินดีอยู่ดีมาสู่ครอบครัวและหมู่บ้าน
บัดนี้ยุคของการปรนเปรอความสุขให้กับผู้ชายต่างชาติหวนคืนอีกครั้ง
เพียงแต่บริบทต่างกันออกไป เป็นเนื้อหาใหม่เกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนล้วนๆที่สังคมไทยเปิดประตูต้อนรับด้วยความยินดีปรีดา
“น้ำอัดลม” สท.แดง บอกความทรงจำของเขา
น้ำอัดลมมาพร้อมกับทหารจีไอ เช่นเดียวกับเครื่องดื่มแปลกๆอีกมากมาย รวมทั้งขวดเหล้า-ขวดไวน์
ชนิดแกลลอนที่ชาวบ้านนำมาสร้างนวัตกรรมเอาไปใส่น้ำดื่มเมื่อไปนา รวมถึงการนำเอาชุดนักบินเก่าไปสวมใส่ในการตีผึ้ง
“เสื้อยืด” เล็ก ใบเมี่ยง บอกว่าเมื่อก่อนเราต้องตัดเสื้อผ้าใส่กัน
แต่พอจีไอเข้ามา เราได้เห็นเสื้อยืดที่มีสกรีนรูปและข้อความแปลกๆ ใส่คู่กับ “กางเกงยีนส์ลีวายส์”
ป้ายส้ม ขาม้า ป้ายแดง ขาเดฟ รองเท้าผ้าใบยี่ห้อ Converse และวัยรุ่นไทยจำนวนมากก็ได้รับเสื้อแจกเป็นเสื้อผ้าเก่าที่ทหารจีไอทิ้งแล้ว
เอามาใส่อวดกันเกลื่อนเมือง
เงินดอลลาร์ อัตราแลกเปลี่ยน ๒๐ บาทต่อ ๑ เหรียญฯ
ตอนนั้นงานแคมป์ของพวกจีไอเป็นอาชีพรับจ้างที่สุดแสนจะหอมหวน
สร้างแรงสั่นสะเทือนทางด้านแรงงานมหาศาล เนื่องจากคิดอัตราจ้างระดับเดียวกับการจ่ายค่าแรงในสหรัฐฯ
ยกตัวอย่างช่างไม้กินเงินเดือนเกือบสองพันบาท มากกว่าผู้อำนวยการโรงเรียนเสียอีก
“กุ๊ก” อาชีพพ่อครัวฝีมือดีก็เป็นที่กล่าวขานกันในบาร์ภายในฐานทัพสหรัฐฯ
ที่อุดรฯนั่นเอง บาร์ในฐานทัพเป็นสโมสรของทหารชั้นประทวนเรียกว่า
“บาร์เอ็นซีโอ”
(NCOs’ Bar) เป็นแหล่งบ่มเพาะนักดนตรีและวงดนตรีแนวฮาร์ด
ร็อก/เฮฟวี่ เมทัล ของเมืองไทย เป็นบ่อทองคำสำหรับชุบตัวร็อกเกอร์จำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น
แหลม มอร์ริสัน The After Die, The Erawan และ The Kaleidoscope)
อะโกโก้
คลับ บาร์ อาบอบนวด Turkish Bath มีมากราวดอกเห็ดหน้าฝน ทุกซอกทุกซอยในเมืองอุดรลามมาถึงสกลนครและนครพนม
เขตปฏิบัติงานต่อเนื่องของกองทัพอเมริกันและมันระบาดแบบไม่อาจรักษามาจนถึงทุกวันนี้
นอกจากนั้นฉันยังจำฝังใจกับภาพศพลอยเป็นแพในน้ำโขง
เสียงปืน ระเบิด เปลวเพลิง ที่เห็นและได้ยินมันเสมอในช่วงสองสามปีท้ายๆก่อนที่ลาวจะแตก
...
เราเหมือนจะคุยกันไม่ยอมเลิก แต่ไม่มีงานเลี้ยงใดไม่เลิกรา สุดท้ายก็ต้องเปิดไฟ
เก็บกวาด และอำลาบึงพลอยเรืองแสง
หิ่งห้อยสองสามตัวที่บินวนอยู่เป็นเพื่อนกับเราตั้งแต่หัวค่ำยันดึกดื่นยังร่ายรำด้วยจังหวะเคลื่อนที่เฉพาะตัวของมัน
จู่ๆฉันก็คิดถึงคืนก่อนหน้าที่เราจะมานั่งริมบึง ฉันเห็นพระจันทร์ครึ่งดวงทอดเงาลงบนลำน้ำโขง
ดึงอดีตให้หวนคืนจนจังงัง
ประกายจันทร์ในท้องน้ำมืดมิดพลิ้วไหวเป็นระลอกทอดยาว ลำน้ำนั้นเหมือนมีชีวิต
อะไรบางอย่างเคลื่อนไหวอิสระไหวระริกเลื่อมพรายอยู่บนผิวน้ำ
ฉันเคยเห็นหลายสิ่งเคลื่อนผ่านไปบนสายน้ำนี้
เห็นเรือไฟ กระทงสาย เรือหาปลาลำน้อยที่ลอยเหงาอยู่กลางน้ำ เห็นแม้กระทั่งงพญานาคที่เลื้อยฝ่าสายน้ำพุ่งสวนขึ้นไปด้วยตาเนื้อของตัวเอง
วันนี้ แม่น้ำโขงที่เพิ่งจากมายังหลั่งไหลสัตย์ซื่อ
ไม่ว่าผู้คนจะย่ำยีเธอร้ายกาจเพียงใด
....
คิดถึงคนมุกอ คิดถึงแค้มป์จีไอ ผมวิ่งเล่นอยู่ในแค้มป์ที่โคราช กางเกงยีนส์ตัวแรกได้จากลูกชายจีไอในแค้มป์ ตอนนั้นต้องใส่ลีวายส์ เสื้อยืดฮาเนสส์ มีอะไรอีกมากมายที่จีไอทิ้งไว้ในสมองเล็กๆ ของเด็กน้อย และคิดถึงเสื้อผ้าบลูกาย ผมเป็นแฟนบลูกาย บาย บลูเวย์ สมัยร้านอยู่สยาม
ตอบลบคิดถึงวันเวลาสมัยที่ยังเป็นเด็กประถม กับสังคม "เมียเช่า"
ลบคิดถึงวันเวลาสมัยที่ยังเป็นเด็กประถม กับสังคม "เมียเช่า"
ลบ