วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

พายุหิมะ


                                          เสียงฝนกระหน่ำยามนี้ ดังไม่แพ้เสียงพายุหิมะวันนั้น
                                                                  ...

ในห้องโถงโรงแรม เรานั่งอยู่ด้วยกันข้างเตาผิงที่ไฟลุกโชน กลิ่นกาแฟหอมฟุ้งอบอวล

นี่มันเป็นเวลาหลังอาหารดึกดื่น แต่หลายคนยังต้องการความอุ่นจากถ้วยกาแฟ

คืนนี้ช่างคับคั่ง ราวกับผู้คนไม่อยากหลับใหล

มันเป็นหิมะหลงฤดูบ้าคลั่ง คนที่นี่คุ้นเคยกับมันดี แต่คนผ่านทางจากแผ่นดินร้อนตื่นกลัว

เราอาจไม่ได้เดินทางต่อ หรือถ้าโชคร้ายกว่านั้น...อาจติกแหง็กอยู่ที่นี่หลายวัน

แต่นั่นมิใช่เหตุผลที่เรามานั่งอยู่ด้วยกัน มันมีอะไรมากกว่านั้น

เป็นแรงดึงดูดที่ไม่อาจอธิบายของสายหิมะที่พรูพรั่งอยู่ข้างนอกในเสียงลมหวู่หวิวกรีดกรอน่าหวั่นหวาด

เราจิบไวน์ช้าๆ ไม่อยากให้มันหมดแก้ว เพื่อจะต้องอำลาจากกัน ทั้งที่รู้... ค่ำคืนนี้ อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะผ่านพ้น

ถ้อยคำมากมายหลั่งไหลอยู่ใต้ริมฝีปากที่ปิดสนิท

ในที่สุด ก็ถึงจิบสุดท้ายของเหล้าองุ่น เฝื่อนฝาดบาดคอ แต่หอมกรุ่นละมุนใจ ตรึงอยู่ในความรู้สึกล้ำลึก

เราลุกขึ้น ลาจากด้วยความเงียบ

เดินหันหลังให้กันไปคนละปีกตึก

เสียงลมพายุเบาลงแล้ว
แต่ปุยขาวยังพร่างพราวจากฟ้า
...

#เรื่องสั้น ๒๐ บรรทัด


“เมียหน้าหนาว” ของหนุ่มชาวแคชเมียร์



                      ที่แคชเมียร์ เวลาเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้าเหมือนชีวิตผู้คน



ยกเว้นเสียงแตรรถยนต์บนท้องถนนที่มีการจราจรจอแจแล้ว ดูเหมือนทุกอย่างจะดำเนินไปแบบเอื่อยช้า สงบ สันโดษ ไม่มีห้างสรรพสินค้า สตาร์บัคส์ หรือฟาสต์ฟู้ด  
พ้นจากย่านจอแจกลางเมือง ในตรอกซอกซอยของย่านพักอาศัยชาวบ้านจะพึ่งพาสองขาแทนยานพาหนะ ไปสุเหร่า ไปตลาด ไปโรงเรียน ไปเที่ยวเล่นฯลฯ
บนผิวน้ำเหนือทะเลสาบดาล ชีวิตยิ่งเคลื่อนไหวช้าไปกว่าจุดอื่น ด้วยใบพายรูปหัวใจของ เรือชิคารา ที่พาผู้โดยสารเที่ยวท่องไปในความเงียบ งาม กลางภวังค์ฝันที่แยกโลกวุ่นวายสับสนข้างนอกออกไปจากสรวงสวรรค์เหนือผืนน้ำแห่งนี้
ดาล เลค ไม่ใยดีกับกับสิ่งใดนอกจากขับขานบทกวีแห่งความสุขและความทุกข์ของมันเองตามฤดูกาลที่ผันแปร ทั้งวันที่อากาศแจ่มใส วันฟ้าหม่น วันที่มีฝน หรือเมื่อหิมะตก


อารมณ์ของผืนน้ำผันแปรไปตามปรากฏการณ์รายรอบที่มีทั้งความแจ่มใส เริงร่า หม่นเศร้า เหงา อ้างว้าง เดียวดาย...บางวันใต้ฟ้าผืนเดียวกัน แต่อารมณ์ทะเลสาปก็แปรปรวนไปตั้งหลายหน้า เป็นเสน่ห์ในธรรมชาติที่มนุษย์ไม่มีปัญญาไปปรุงแต่ง
ดาล ในภาษาถิ่นหมายถึงทะเลสาป คนรถและไกด์จึงเรียกทะเลสาปน้ำจืดของพวกเขาทั้งหมดว่า ดาล ทั้งที่ความจริงแล้วดาลเลคในศรีนาคาประกอบด้วยทะเลสาปถึง 4 แห่งเชื่อมต่อถึงกันหมดและมีทางน้ำออกไปยังแม่น้ำเยรุม(Jhelum) แหล่งน้ำขนาดมหึมานี้เป็นที่รองรับหิมะที่ละลายไหลมาจากส่วนปลายของเทือกเขาหิมาลัยในฤดูร้อน
ทะเลสาปทั้งหมดนี้บางแห่งเป็นแอ่งน้ำแคบยาวแนบอยู่กับชุมชนเมือง มีเรือบ้านแบบเกสต์เฮาส์ราคาถูกในบรรยากาศจอแจไว้บริการ บางแห่งเป็นแอ่งใหญ่นอกเมืองสำหรับใช้ทำกิจกรรมรองรับการท่องเที่ยวโดยเฉพาะ มีเกาะกลางน้ำ มีร้านอาหาร มีสวนผัก สวนดอกไม้ให้ไปเที่ยวชม รวมทั้งการเล่นเรือหลากหลายประเภท และสกีน้ำ
แต่ที่ ทะเลสาปนาร์จิน(Nargin) นั้น สงวนไว้เฉพาะรองรับคนเดินทางที่ต้องการความสงบเพื่อการพักผ่อนอย่างแท้จริง ที่นี่จึงไม่มีเสียงอื่นใดนอกจากเสียงพึมพำของธรรมชาติคลอเคล้าอยู่กับลมหายใจของสายน้ำที่สงบนิ่งและเงียบงัน ถึงขนาดที่ผิวน้ำแทบไม่สะเทือนให้เห็น หากไม่มีชิคารา(Shikara) สักลำผ่านมาท่ามกลางความเงียบ
ความสงบ สันโดษ ในผืนน้ำเรียบราวกระจกเป็นความงามที่ต้องไปสัมผัสด้วยตัวเองเท่านั้นจึงจะซึมซับอารมณ์ที่แท้จริงของภวังค์สุขนั้นได้

เมื่อได้พบประสบการณ์นั้นหัวใจเราก็จะอ่อนโยนลง และหัวใจดวงเดียวกันนี้ก็อดไม่ได้ที่จะร่ำร้องหาสันติแทนชาวแคชเมียร์ทั้งมวลที่อยู่ท่ามกลางการแย่งชิงอำนาจการปกครองระหว่างฝ่ายอินเดียและปากีสถาน
เรือชิคารา เป็นเรือพายมีที่นั่งบุนวมหุ้มผ้านั่งสบายสำหรับผู้โดยสารที่ออกแบบตกแต่งสีสันสดใสสวยงามสไตล์แคชเมียร์ในลักษณะเรือแท็กซี่ผสมผสานกับเรือพ่อค้าเร่
หนุ่มบางคนพายเรือบริการเพียงเดียวดาย บางลำมีคู่หูเป็นเพื่อนมาด้วย ในเวลาที่ไม่ต้องการให้ชิคาราเป็นแท็กซี่พวกเขาก็จะเก็บเบาะลงคลุมผ้าไว้มิดชิด แล้วก็แทนที่ลำเรือนั้นด้วยสินค้าสารพันที่จะเร่ขายไปตามเรือบ้านที่เรียงรายอยู่รอบทะเลสาป
ผ้าคลุมไหล่พาชมีน่า เครื่องประดับหินสี พลอยอ่อน เปเปอร์มาร์เช่ เสื้อผ้า กระเป๋า เครื่องหนัง รวมทั้งพรมทอมือ สินค้าขึ้นชื่อของท้องถิ่น


...
ฤดูท่องเที่ยวที่สวยงามสะดวกสบายและอากาศแจ่มใสที่สุดของแคชเมียร์คือฤดูร้อน  เริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคมไปจนถึงเดือนสิงหาคมซึ่งท้องฟ้าจะโล่งแจ้งสว่างไสว อากาศเย็นสบายกำลังดีคล้ายกับฤดูหนาวในบ้านเรา โดยเฉพาะในตอนกลางคืนอุณหภูมิประมาณ 25 องศากลางวันราว 35 องศา 
ฤดูกาลนี้ท้องทุ่งกว้างใหญ่ของแคชเมียร์จะเขียวขจี น้ำในแม่น้ำลำธารใสแจ๋ว ไม่มีฝนกวนใจ และไม่หนาวเย็นเกินควรสำหรับคนที่ทนอากาศหนาวมากๆไม่ไหว
ช่วงที่ฉันไปเที่ยวกลางเดือนเมษายนนั้นเป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิแล้ว ฟ้ายังอุ้มฝนอยู่บ้าง บนภูเขาสูงที่มีธารน้ำแข็งหรือเกลซิเออร์หิมะเริ่มละลายกลายเป็นสายน้ำน้อยๆไหลซอกซอนหินผาเลียบไปตามไหล่ทาง ได้ยินเสียงสายลมหวู่หวิวอยู่ตามช่องเขา อากาศทั่วไปเย็นฉ่ำโดยเฉพาะยามค่ำคืนและเช้าตรู่ เรายังต้องสวมโอเวอร์โค้ทกันอยู่
เดือนนี้ดอกไม้ป่ากำลังผลิบานเต็มท้องทุ่งปกคลุมเทือกเขาสุดลูกหูลูกตา โดยเฉพาะพืชที่สร้างชื่อเสียงมากมายในดินแดนแถบถิ่นนี้คือมัสตาร์ดดอกสีเหลืองอร่ามบานงามอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง อากาศเย็นสบายอุณหภูมิประมาณ 11-23 องศา  


แม้กลางลำน้ำอากาศจะหนาวเย็นกว่าบนผืนดินแต่คนเรือชิคาราของเราก็ไม่ต้องสวมเสื้อผ้าขนสัตว์หนาเตอะแล้วเขาใช้เสื้อคลุมผ้าฝ้ายเนื้อหนาตัวยาวสวมทับเสื้อตัวในอีกที
เขามาพร้อมกับสิ่งของประจำกายสองอย่าง หนึ่งในนั้นคือ มอระกู่ หรือ ชิชา ซึ่งฉันรู้จักดีว่าเป็นยาสูบชนิดหนึ่งของชาวอาหรับ ส่วนอีกอย่างเป็นเตาถ่านเล็กๆบรรจุอยู่ในตะกร้าหวายทรงบาตรพระที่สานอย่างแน่นเหนียว
เขาวางตะกร้าเตาถ่านไว้ข้างหน้าใกล้ๆตัว มือหนึ่งถือพาย อีกข้างจับขวดมอระกู่สูดควัน
พอฉันหันไปเห็นและสนใจขอให้เขาแอ็คชั่นถ่ายรูป เขาก็วางพายพาดขวางลำเรือแล้วถือสิ่งของคู่ใจทั้งสองชนิดขึ้นมาวางบนลำไม้พาย สูดควันมอระกู่อีกเฮือก ยิ้มให้กล้อง  
กลิ่นหอมของผลไม้และเปลือกไม้บางชนิดกรุ่นกำจายอยู่ในอากาศระหว่างที่เรือลอยลำอยู่กลางทะเลสาป เขาบอกเราว่ายาเส้นที่ใช้จุดมีกลิ่นหอมมากก็เพราะนำมาบดผสมกับเนื้อผลไม้ตากแห้ง
เมื่อสองสามปีก่อนมอระกู่เป็นที่นิยมมากตามผับบาร์ในหมู่วัยรุ่นบ้านเราเพราะผู้คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าการสูบมอระกู่ให้พิษภัยน้อยกว่าบุหรี่แถมยังมีสรรพคุณชูกำลัง ทั้งที่มอระกู่นั้นมีโทษมากกว่าบุหรี่ถึง 6 เท่า การสูบมอระกู่ 1 ห่อเท่ากับสูบบุหรี่ถึง 20 มวนเลยทีเดียว พิษภัยอันร้ายแรงนี้ทำให้ต้องตรากฎหมายลงโทษคนสูบไว้สูง มีโทษปรับไม่เกิน 20,000 บาท แต่ก็ยังมีคนฝ่าฝืนลักลอบสูบกันอยู่
ฉันบอกเขาว่ารู้จักมอระกู่ แต่ไม่รู้ว่าเตาถ่านเล็กๆนั่นใช้ประโยชน์อันใด
This is my winter wife!
อะไรนะ? พวกเราต่างงุนงงกับ “เมียหน้าหนาว” ของเขา


เขายิ้มอีกครั้งและทำท่าสาธิตให้ดูว่าทำไมเตาน้อยในตะกร้าหวายนี้ถึงได้กลายเป็น  ‘winter wife’ ไปได้
ถ้าเราไม่ได้นั่งอยู่บนเรือลำน้อยที่เสี่ยงต่อการเอียงคว่ำ เขาก็คงจะลุกขึ้นยืนแล้วยัดตะกร้าเตาถ่านนั้นไว้ในพุงให้เราเห็น
เป็นเช่นนั้นเอง เตาถ่านในตะกร้านี้คือฮีทเตอร์เคลื่อนที่ประจำตัวผู้ชายทุกคนนั่นเอง!
ในฤดูหนาวไม่มีใครก้าวออกจากบ้านโดยไม่อุ้มเพื่อนยากใส่พุงไปด้วย มันเป็นเพื่อนแสนอบอุ่นที่พวกเขาสามารถพกพาไปไหนต่อไหนได้ทุกหนทุกแห่งตลอดวันในเสื้อคลุมยาวลักษณะคล้ายพระอุ้มบาตรที่เราคุ้นตาในเมืองไทย
ด้วยเหตุนี้มันจึงถูกตั้งฉายาว่า ‘winter wife’
เตาถ่านนี้ช่วยให้อุ่นนานไม่ต้องสะท้านจับไข้อยู่ในความแปรปรวนรวนเรของอากาศ การปรุงไฟเติมถ่านนั้นจะอุ่นน้อยอุ่นมากหรืออุ่นนานแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับความเชี่ยวชาญของแต่ละคนเหมือนงานศิลปะกันเลยทีเดียว เพราะเตาจะติดตัวออกไปตั้งแต่เช้าตรู่ ต้องไม่ร้อนเกินไป ไม่หนักเกินไป และต้องทำให้ไฟในเตาอุ่นระอุเพียงพอสำหรับการอยู่กลางแจ้งตลอดวันประมาณ 8-10 ชั่วโมงเลยทีเดียว ที่สำคัญมันต้องปลอดภัยพอที่จะไม่ไหม้ตัวเอง


ความชาญฉลาดของในการอยู่รอดมนุษย์นี่เองที่ทำให้โลกอารยะมาได้ถึงปานนี้
ดาลเลคในความทรงจำที่ลืมไม่ลงของฉันจึงเป็นเรือชิคาราลำนี้ที่ขับขานบทกวีภายในใจอยู่เงียบงันบนทะเลสาปที่เรียบใสราวกระจก

ปล่อยให้เราเคลื่อนผ่านกาลเวลาอีกวัน

                                         ...


ฉันรักราษฎร์บูรณะ

        รู้สึกว่าบุญนำกรรมส่งมากที่ได้มาใช้ชีวิตริมแม่น้ำตามที่ใฝ่ฝัน และได้อยู่ใกล้วัดแจงร้อน ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่มีมาตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนปลาย เป็นวัดเล็กๆ มีโบสถ์และวิหารศิลปะอยุธยาสัดส่วนสวยงามขนาดกำลังดีที่รักษาสภาพดั้งเดิมมาแต่ไหนแต่ไร กับกุฏิพระเป็นเรือนไม้ไม่กี่หลัง อาณาบริเวณกว่าครึ่งของวัดอุทิศให้เป็นพื้นที่ป่าริมน้ำเขียวชอุ่ม         




อาจเป็นเรื่องของวงจรการย้อนกลับ เมื่อ ๕๐ กว่าปีก่อน สมัยพ่อยังเป็นตำรวจน้อยที่กองพลาธิการ เช่าบ้านอยู่แถวสำเหร่ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา แม่อุ้มท้องฉันใช้ชีวิตอยู่ริมฝั่งน้ำ พอลูกเกิดได้ไม่กี่เดือนพ่อกับแม่ก็อพยพย้ายถิ่นฐานจากเจ้าพระยาไปรับราชการตั้งรกรากอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขง เลี้ยงดูเด็กเจ้าพระยาให้เติบโตขึ้นที่นั่น อยู่ใกล้ชิดกับวัดพระธาตุพนม ปูชนียสถานที่มีมาตั้งแต่พ.ศ.๘ ดังนั้น วัฒนธรรมริมฝั่งน้ำจึงหล่อหลอมโอบอุ้มคุ้มชีวิตมาตลอด




และในที่สุด...อาจเป็นเสียงเพรียกของแม่น้ำ ที่นำพาตัวเองกลับมาสู่ถิ่นเดิม เพราะไม่ว่าจะเป็นทะเลหรือภูเขาก็ไม่อาจสู้มนต์ขลังอันทรงพลังของสายน้ำได้
โลกที่นี่สงบเงียบ งดงาม ร่มเย็นมาก แต่ก็มีเรื่องราวใหม่ๆให้เรียนรู้ทุกวัน สภาพบ้านตึกแทบไร้ความหมายในเรื่องความอึดอัด เพราะริมน้ำโล่งกว้างไกลสุดสายตา มีที่ให้เดินเที่ยวเล่นได้มากมายอยู่รายรอบ ดีกว่าตอนอยู่หมู่บ้านจัดสรรใหญ่เสียอีก

...


สำหรับฉัน ราษฎร์บูรณะคือชายขอบมหานครประดุจสวรรค์น้อยๆสำหรับคนที่ยังอยากมองเห็นเมืองและสามารถใช้ชีวิตอยู่กับมันได้แต่ไม่จำเป็นต้องเอาตัวไปอยู่ในใจกลางความยุ่งเหยิงของเมือง
มองจากท่าน้ำของวัดแจงร้อนขึ้นไปบนตึกซึ่งอยู่ติดวัดเลย มีคลองแจงร้อนคั่น กลุ่มต้นไม้เขียวๆพวกนี้คือต้นลำพู มีต้นโกงกางแซมอยู่แน่นหนา ร่มครึ้มมาก น่าจะมีหิ่งห้อย แต่ไม่เคยเข้าไปในวัดตอนกลางคืนเพราะมืดมาก
ถึงแม้บ้านใหม่รั้วจะอยู่ติดกับวัดแจงร้อน แต่กว่าจะซอกซอนเข้าไปถึงบริเวณวัดก็ไม่ง่ายเพราะอยู่ลึกในตรอกแคบเล็ก สู้มองจากตึกไม่ได้ เห็นท่าน้ำของวัดเขียวชะอุ่ม สงบมาก ไม่ค่อยมีใครเข้าไปใช้นัก เป็นบ้านของนกที่ส่งเสียงเซ็งแซ่ทั้งเช้าเย็น




วันที่เดินลัดเลาะเข้าไปจนถึงริมน้ำของวัดพบว่าทางวัดกันที่ชายน้ำไว้ราวไร่สองไร่ปลูกต้นไม้ใหญ่มากทิ้งไว้เป็นป่ารก(ในภาพมองไม่เห็น) คงตั้งใจให้เติบโตไปตามธรรมชาติเช่นนั้น แต่อาณาบริเวณของวัดโดยรวมสะอาดสะอ้านมาก

คงด้วยเหตุนี้จึงมีนกหนูสัตว์เล็กสัตว์น้อยอาศัยอยู่มากมาย เป็นอานิสงส์ช่วยผ่อนคลายความแข็งกระด้างของตึกสูงได้มาก ทุกเช้าเมื่อเปิดประตูระเบียงออกไปจึงได้ยินเสียงนกเซ็งแซ่ไม่ต่างจากเสียงคุ้นเคยที่บ้านเก่า ถือว่าสภาพแวดล้อมไม่ได้ด้อยไปกว่าบ้านเดิมนัก




ที่สนุกกว่าก็คือตอนกลางคืน เมื่อออกไปนั่งเล่นริมน้ำเจ้าพระยา นอกจากจะได้รับลมเย็นชื่นใจ ได้ความสงบภายในแล้วยังได้เห็นนกแสกหรือนกเค้าแมวที่อาศัยในป่าของวัดมาบินเล่นโฉบไปมาเหนือน้ำด้วย วันก่อนเห็นตัวหนึ่งโตเกือบเท่าแม่ไก่ ตกใจเลย
สรุปก็คืออยู่ที่ไหนก็ได้ถ้าหัวใจเบิกบาน จริงไหมคะ
และอยากให้วัดปลูกป่ามากกว่าปลูกตึกแบบที่วัดแจงร้อนทำเป็นตัวอย่าง จะได้ไหม?
พุทธศาสนิกชนลองเปลี่ยนการทำบุญจากสร้างโบสถ์ วิหาร กำแพง ศาลามาเป็น"สร้างป่า" ให้วัดจะได้ไหม?        
...


วันเสาร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

คนรักผัก : คิดถึงแปลงผักริมโขง

 


          
          กลางเดือนพฤศจิกายนแล้ว ลมไซบีเรียช่างเดินทางเชื่องช้านัก
ปีนี้กรุงเทพมหานครยังร้อนอ้าวแม้มรสุมสุดท้ายจะลาจากไปแล้ว
ฤดูกาลเคลื่อนไหวเป็นจังหวะและเปลี่ยนแปลงตามรอบเวลาของมันเป็นวงจรปกติระหว่างปี ... แต่ปีนี้วิปริตผิดแปลกเพี้ยนไป
ลมหนาวราวจะไม่มาหาลุ่มเจ้าพระยาอีกแล้ว
            แม้แต่ริมฝั่งแม่น้ำโขงก็ยังไม่มีข่าวการเปลี่ยนแปลงฤดูกาล หลังสายน้ำกราดเกรี้ยวพัดผ่านไป ทิ้งไว้เพียงความอุดมต่อการดำรงชีพของสรรพชีวิตริมตลิ่งสองฟากฝั่งแม่น้ำ
หลังออกพรรษา เก็บเกี่ยวข้าวเสร็จ ได้เวลาเปิดหน้าดินริมตลิ่งรอคอยการหว่านเพาะ ตลาดสดริมฝั่งน้ำประจำฤดูกาลกำลังจะเปิดแล้ว ผักใบเขียวละลานตาจะเริ่มปรากฏเป็นแถวแนวยาวเหยียด ลดหลั่นเป็นขั้นบันไดไล่ลงไปถึงชายน้ำ     
...

ที่บ้านเกิดจังหวัดนครพนม ฤดูหนาวเป็นเทศกาลกินผัก โดยเฉพาะผักใบเขียวทุกชนิด รวมทั้งผักในตระกูลผักกาด กะหล่ำ ถั่ว หอม กระเทียม
ระดับน้ำในแม่น้ำโขงจะค่อยๆ ลดลงและเริ่มเห็นชัดขึ้นในวันลอยกระทง  เมื่อลอยประทีปบูชาพระแม่คงคาเสร็จการขึ้นแปลงผักก็เริ่มต้น  นี่คือเหตุผลที่ผักบางแปลงอยู่สูงลิบจากชายน้ำ
เราจะไม่คอยให้น้ำลดลงจนได้ระดับพร้อมกันเพื่อทำแปลงผักในคราวเดียว  แค่ตลิ่งเริ่มปรากฏและเปิดเปลือยหน้าดินหลังน้ำลดก็จะเริ่มขึ้นแปลงไล่ทำไปเรื่อยตามระดับน้ำที่ถดถอยลงจากตลิ่ง กลายเป็นขั้นบันไดสวยงาม


แปลงผักของพ่อสวยงามกว่าของใครๆ  
พ่อจะวัดระดับด้วยเชือกขึงตึงเป็นแถวแนวชัดเจนแล้วปักหลักไม้กั้นดินทลายเส้นตรงดิ่งเป็นระเบียบ จากนั้นค่อยกรุขั้นบันไดด้วยทางมะพร้าวแห้งที่มีหล่นทิ้งเกลื่อนกลาดตามสวนของเพื่อนบ้านแถวนั้น  พวกเราเด็กๆ มีหน้าที่ไปลากมันมากองไว้ใกล้ๆ เวลาพ่อลงมือสร้างแปลงผัก
นี่คือ ภูมิปัญญาพื้นบ้านที่ทำตามกันมา
ฉันเพิ่งมารู้ภายหลังว่าทางมะพร้าวที่กรุเสาไว้หยาบๆ นั้นเป็นวิธีการอันยอดเยี่ยมในการระบายน้ำของแปลงผัก เพราะใบมะพร้าวเป็นเส้นสายไม่ทึบตัน กักดินเก็บไว้ได้แต่ไม่กั้นน้ำ แถมมีรูพรุนมากมายเปิดทางให้อากาศเข้าไปบำรุงรากผักได้ดี 
ถึงรอบฤดูน้ำหลากอีกครั้ง ปุ๋ยธรรมชาติที่สายน้ำพัดพามาจากต้นทางก็จะทับถมลงไป เพิ่มความอุดมสมบูรณ์ลงไปบนผิวดินชั้นแล้วชั้นเล่า
ดินริมตลิ่งหลังน้ำลดจึงแทบไม่ต้องปรุงแต่งสิ่งใดก็พร้อมให้อาหารแก่เมล็ดพันธุ์ที่โปรยหว่าน
แปลงผักของพ่อทำเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้ายาว ยกทางเดินผ่าตรงกลางสูงขึ้นเล็กน้อย แบ่งแปลงปลูกออกเป็นสองฟากฝั่งเพื่อให้สะดวกในการเดินรดน้ำ แต่ละแปลงไม่กว้างเกินกำลังแขนของเด็กๆ ที่จะส่ายบัวรดน้ำไปถึง
ดินริมน้ำชุ่มชื้นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่ผักก็ยังต้องการน้ำทุกวัน บางปีที่อากาศแห้งจัด เราอาจต้องเทียวขึ้นลงตลิ่ง รดน้ำทั้งเช้า-เย็นก่อนไปโรงเรียนและหลังเลิกเรียน
เป็นภารกิจช่วยงานบ้านที่ไม่มีใครชื่นชอบ พวกเราพี่น้อง ๕ ชีวิต ไม่มีคนใดเลยสนุกกับการรดน้ำผัก มีแต่จะคอยเกี่ยงงอนกันว่าใครเอาเปรียบใครบ้างในหน้าที่ประจำวันนั้น
นั่นคือเหตุผลที่ฉันเกลียดผักในวัยเด็ก บวกกับรสชาติอันขมขื่นไม่ได้น่าชื่นชมของมัน ทำให้ต้องคอยเขี่ยผักสารพัดออกจากจานข้าวเสมอ กว่าจะรู้คุณของผักอีกทีก็เกือบสายไปเสียแล้ว
ผักแปลงแรกๆ หลังน้ำลดมักจะเป็นพวกผักกาดที่โตเร็ว ปลูกไม่นานก็จะได้กินทันใจ พวกผักที่ต้องดูแลเรื่องน้ำเป็นพิเศษจะอยู่ใกล้ชายน้ำหน่อย จะได้ไม่ต้องปีนตลิ่งสูงมากนัก
เมล็ดพันธุ์ผักของบ้านเราเมื่อแรกเริ่มนั้นเป็นผักพันธุ์ดีของเพื่อนบ้านที่ขอแบ่งปันกันมาเป็นทอดๆ พอปลูกได้ผลผลิตครั้งแรกพ่อก็จะแบ่งผักในแปลงส่วนหนึ่งแยกเอาไว้ต่างหากสำหรับทำพันธุ์ ทำนุบำรุงให้น้ำให้ปุ๋ยเป็นพิเศษ พอแก่ได้ที่ เมล็ดพันธุ์ดีๆ ก็จะตกอยู่ในมือของเราเอง ใครอยากได้ก็มาแบ่งเอาไปเป็นแบบนี้เหมือนที่คนอื่นทำ ไม่จำเป็นต้องซื้อหา
กระทั่งมาเฟียแห่งวงการเมล็ดพันธุ์พืชโผล่เข้ามาตัดวงจรความเอื้อเฟื้อระหว่างเพื่อนบ้านต่อเพื่อนบ้าน เมล็ดพันธุ์ที่พัฒนากันเองแบบพื้นเมืองจากแปลงผักชาวบ้านอย่างเราๆ ก็สูญหายตายไปจากระบบเกษตรกรรมพื้นบ้านอย่างสมบูรณ์แบบ
เดี๋ยวนี้ทุกอย่างต้องซื้อจากบริษัทที่เป็นเจ้าตลาด
กระบวนการทางการตกแต่งพันธุกรรมทำให้เราไม่เหลือเมล็ดพันธุ์จากแปลงผักของเราเอาไว้ใช้เองอีกต่อไป
ดีแล้วที่พ่อเลิกปลูกผักตั้งแต่ตอนเกษียณอายุราชการเมื่อ ๓๐ กว่าปีก่อน ไม่เช่นนั้นเราก็คงปวดใจนักหนาที่ต้องซื้อเมล็ดพันธุ์ผักใหม่ทุกปีมาลงแปลง
...


เมล็ดพันธุ์ผักกาดเล็กจิ๋ว บางชนิดเล็กกว่าเมล็ดแมงลักด้วยซ้ำไป ส่วนใหญ่สีดำ ปริมาณแค่หยิบมือเดียวก็ได้ต้นกล้าเต็มแปลงใหญ่
แปลงกล้าผักไม่ต้องพรวนดินลึกมาก แค่ทำให้ร่วนซุยพอเหมาะ รดน้ำจนชุ่ม ก่อนจะหว่านเมล็ดพันธุ์ลงไปให้ทั่วแปลง โรยดินร่วนกลบบางๆ อีกรอบ จากนั้นฝักบัวฝอยละเอียดก็โปรยสาย
ธาตุทั้งสี่ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ทำงานประสานกันได้ที่ ชีวิตใหม่ก็ก่อเกิด ต้นกล้าผักกาดใบเล็กจิ๋วค่อยๆ แทงทะลุดินขึ้นมารับแดด เบียดกันแน่นขนัด แย่งกันตะกายขึ้นสู่ฟ้าพุ่งเข้าหาดวงอาทิตย์
หากสังเกตสักหน่อยเราจะเห็นกับตาว่าต้นกล้าที่แข็งแรงจัดจะโตไวกว่าเพื่อน ต้นสูงกว่าใครและใบก็แผ่ออกกว้าง ทั้งที่ใช้เวลาในการหว่านเพาะมาเท่ากัน
ประมาณ 10 หรือ 15 วัน ต้นกล้าก็แข็งแรงพอที่จะแยกต้นออกมาปลูกลงแปลงใหม่ ตอนนี้เป็นหน้าที่ของแม่ในการคัดเลือกต้นกล้าขนาดใกล้เคียงกันไปฝังลงหลุมที่พ่อขึงเชือกตีตารางไว้ ให้ได้ระยะห่างพอเหมาะพอดี ต้นกล้าจะได้ไม่แย่งกันกินอาหาร และมีพื้นที่ด้านข้างเหลือพอให้แตกกอได้เต็มที่
เราทำแบบนี้กับผักกาดแทบทุกชนิด โดยเฉพาะคะน้า ผักกาดขาวปลี ผักกาดหอม กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก หอมแดง และกระเทียม
เฉพาะหอมแดงกับกระเทียมนั้นเป็นแปลงผักที่ครอบครัวเราต้องเอาใจใส่เป็นพิเศษ เพราะพ่อจะลงแปลงในปริมาณมากกว่าผักชนิดอื่นทั้งหมด เนื่องจากสามารถเก็บเอาไว้ใช้นานหลังจากเก็บเกี่ยวแล้ว
ครัวที่บ้านจะมีราวไม้ไผ่พาดแขวนอยู่ใต้ขื่อ เมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยวยามหมดลมหนาว แม่จะมัดหอม-กระเทียมเป็นพวงใหญ่แบบเดียวกับพวงมาลัยห้อยคอ โดยใช้ตอกไม้ไผ่รวบส่วนที่เป็นใบแห้งมัดเข้าด้วยกันให้แน่นหนาแล้วนำไปแขวนผึ่งลมไว้ในราวไม้ไผ่ให้แห้งสนิท
หอม-กระเทียมแห้งแขวนเก็บอยู่ในที่อากาศผ่านไม่อับชื้น สามารถคงคุณภาพได้เป็นปี แขกไปใครมา ญาติพี่น้องผ่านทางมาเยี่ยมเยียน แม่ก็จะแบ่งหัวหอมและกระเทียมออกจากมัดมาเป็นของฝาก
ไม่ได้มีราคาค่างวดมากมาย แต่เปี่ยมล้นด้วยความหมายแห่งมิตรไมตรี และบ่งบอกสายธารวัฒนธรรมลุ่มน้ำโขงได้อย่างล้ำลึก
...

ธรรมชาติของผักใบเขียวส่วนใหญ่ชอบอากาศหนาวเย็น ไม่ถูกโรคกับฝน ซึ่งจะทำให้ผักช้ำและเน่าง่าย ฤดูหนาวของภาคอีสานจึงเป็นช่วงเวลาทองของการกินผักตามฤดูกาลที่เอร็ดอร่อย มีให้เลือกมากมายและราคาถูกแสนถูก เพราะใครๆ ก็ปลูกผักได้งาม ขึ้นง่าย ไม่ค่อยมีโรคแมลงรบกวน
นักโภชนาการทั่วโลกต่างก็ยึดหลักการเดียวกันนี้ แนะนำให้แต่ละท้องถิ่นกินผักตามฤดูกาล ซึ่งนอกจากจะปลอดภัยแล้วยังได้รสชาติอร่อยที่แท้จริงของผักแต่ละชนิดด้วย
ผักใบเขียวประจำฤดูหนาวของบ้านเราที่ไม่เคยขาดไปจากแปลงเลยก็คือ ผักสลัด หรือผักกาดหอม ซึ่งจะปลูกได้ต้นใหญ่ยักษ์และงามกว่าปลูกในฤดูอื่น ที่เหลือรองลงมาก็เป็นคะน้า กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก
พวกที่เป็นลูกและเป็นฝัก ขาดไม่ได้แน่ๆ ก็คือมะเขือเทศ ถั่วฝักยาว และถั่วลันเตา
มะเขือเทศที่เราปลูกมีทั้งพันธุ์ลูกใหญ่รูปทรงคล้ายผลฟักทอง และพันธุ์เล็กในกลุ่มมะเขือเทศสีดา ไปจนถึงมะเขือเทศลูกกลมขนาดเล็กจิ๋ว รสอมเปรี้ยวอมหวานจัดจ้านที่นิยมใช้ปรุงส้มตำปลาร้า
ทุกเช้าและเย็นเมื่อถึงเวลาปรุงอาหาร เราต้องการแค่เนื้อสัตว์บางชนิดจากตลาดสด ที่เหลือนอกนั้นเก็บเอาสดๆ จากสวนครัวข้างบ้านและแปลงผักริมตลิ่ง
ปีนี้ได้ยินมาว่า แม่ค้าผักแดนไกลจากเมืองหลวงหลายคนเริ่มบุกทะลวงไปถึงถิ่นอีสานและไล่ล่าออกออเดอร์ผักริมตลิ่งแม่น้ำโขง เลือกสั่งให้ปลูกเฉพาะชนิดที่ตัวเองต้องการ แบบผูกปิ่นโตเป็นเจ้าประจำกันจนคนในท้องถิ่นก็แทบไม่มีโอกาสได้กินด้วยซ้ำไป
เมื่อคนมากขึ้น พื้นที่ของแหล่งอาหารลดลงเพราะถูกแปรสภาพไปใช้ประโยชน์อื่น การแย่งชิงทรัพยากรก็ย่อมตามมาเป็นธรรมดา
ปีนี้แม่บอกว่าลมหนาวยังไม่พัดมาเลย คงมีโอกาสได้ใส่เสื้อกันหนาวแค่ไม่กี่วัน
ฉันยังจำรสชาติความเหน็บหนาวของลมไซบีเรียในวัยเด็กได้ดี มันส่งเสียงหวีดหวิวบาดหูมาเป็นช่วงๆ โดยเฉพาะในเวลาเช้าตรู่และย่ำค่ำ
เวลาเดินตากลมลงไปเก็บผัก ลมจะบาดผิวจนตึงแน่น รู้สึกว่าใบหน้าเย็นเฉียบและแข็งเหมือนหิน ในตอนนั้นรู้สึกเกลียดแปลงผักเข้ากระดูก
แต่เวลานี้มีเพียงลมร้อนในเดือนหนาว และคิดถึงแปลงผักริมตลิ่งจับใจ


.............