พลาด...จึงต้องเผื่อ
........
ตอนที่เราไปถึงสนามบิน วิ่งบมาถึงทางออกก็ไม่ทันรถไฟเสียแล้ว เพราะเวลาตอนนั้น ๐.๐๙ น. |
ทุกการเดินทาง
สถานการณ์คับขัน ฉุกเฉิน ไม่เป็นไปตามที่วางแผนเอาไว้เกิดขึ้นได้เสมอ
ขอบอกว่าต้องเตรียมใจเตรียมกาย เตรียมรับมือเผื่อไว้เลย
บริเวณท่ารถย่านนัมบะที่ส่งเราลงจากรถโดยสาร |
ก่อนที่เราจะเดินทางสองวันสนามบินดอนเมืองปั่นป่วนด้วยคำสั่งเข้มให้ตรวจค้นสัมภาระละเอียดยิบตั้งแต่ก่อนเช็คอิน
อันเนื่องมาจากนิยายสั้นขนาดยาวที่ “แจ๊ดปืนจิ๋ว” สร้างเรื่องเอาไว้จนปั่นป่วนไปทั่วประเทศทำให้ผู้โดยสารตกเครื่องบินกันระนาวและออกมากระหน่ำด่าการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยทางโซเชียลเน็ตเวิร์คในประเด็นที่การตรวจนี้ไม่ได้แจ้งให้ทราบล่วงหน้าทำให้คนส่วนใหญ่ไม่ได้เผื่อเวลาไว้จึงเกิดเรื่องวุ่นวายที่สนามบินตลอดวัน
ดังนั้น ผู้โดยสารที่จะเดินทางผ่านสนามบินดอนเมืองจึงถูกเตือนให้เผื่อเวลาไว้อย่างน้อย
๓ ชั่วโมงสำหรับการเดินทางภายในประเทศและ ๓ ชั่วโมงครึ่งถึง ๔
ชั่วโมงในเที่ยวบินต่างประเทศ...พวกเราก็ปั่นป่วนสิ
ต้องเลื่อนเวลานัดหมายเร็วขึ้นอีกชั่วโมงครึ่งจากเดิมที่เผื่อเวลาไว้เต็มที่แค่ ๓
ชั่วโมง ยังโชคดีที่เพื่อนส่วนใหญ่ซึ่งมาจากอุดรฯเดินทางถึงดอนเมืองตั้งแต่เช้าส่วนไฟลท์แอร์เอเชียX ไปโอซาก้าเป็นไฟลท์บ่ายสามโมงครึ่งมาตรการนี้ก็เลยไม่ได้สะดุดฝัน...
เวลาประมาณตี ๑ เศษกลางเมืองโอซาก้า |
แต่สุดท้ายเมื่อโดนรุมด่าเสียจนหูดับการท่าฯก็จำต้องยกเลิกมาตรการดังกล่าวในอีกสองวันถัดมา
เพราะถึงจะค้นกันขนาดนี้มันก็ไม่ได้ช่วยเรื่องมาตรการรักษาความปลอดภัยอะไรเลย เป็นการแสดงขายผ้าเอาหน้ารอดเท่านั้นเอง
เนื่องจากบรรดาผู้ใหญ่ในบ้านเมืองนี้ที่มียศมีตำแหน่งมีอำนาจวาสนาบารมี
ทั้งที่ยังสวมหัวโขนอยู่และถูกถอดทิ้งไปแล้วที่เรียกกันโก้ๆว่าผู้โดยสารวีไอพี.นั้น
ถ้าสันดานเดิมยังหุ้มอยู่พวกเจ้าหน้าที่ขี้ข้าก็คงจะยังรักษามาตรฐานการอุ้มขึ้นเครื่องบินช่องทางพิเศษอยู่เหมือนเคย(ฮา)
หน้าตึกที่เราเดินผ่าน |
เรื่องอยากขนอะไรออกไปนั้นอย่าว่าแต่ปืนจิ๋วเลยเงินสดเป็นสิบๆกระเป๋าก็ทำได้จ้า!!!
แต่ช่างหัวการท่าฯมันเถอะ
เรามันผู้โดยสารคนเดินดินธรรมดาก็รักษากฏกติกามารยาทตามแบบประชาชนคนไทยเอาไว้ปลอดภัยที่สุด
ทุกคนไปก่อนเวลาเครื่องออก ๓ ชั่วโมงตามมาตรฐาน ผ่านทุกด่านด้วยความรวดเร็วเพราะมนุษย์ป้าและมนุษย์ลุงต่างเข้มงวดในเรื่องใช้กระเป๋าเล็ก
เบา หิ้วขึ้นเครื่องเองทุกใบ
ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วแต่ละคนมีของในตัวสองชิ้น
คือกระเป๋าเสื้อผ้ากับแฮนด์แบ็ก(หรือเป้สะพาย)
ต่างคนต่างช่วยตัวเองไม่มีใครทำตัวเอื้ออารีถือให้ใคร
แม้แต่สามีภรรยาก็เถอะ(มีสามีภรรยาในทริป ๑ คู่ แต่ถูกจับแยกไม่ให้นอนห้องเดียวกันด้วยข้อจำกัดเรื่องที่พัก)
เดินผ่านถนนแบบนี้ประมาณ ๒๐ นาที |
ผู้ชายในทริปทุกคนผอม แข็งแรง ปราดเปรียว ผู้หญิงในทริปรูปร่างหลายขนาดไหลเลื่อนไปตามอายุ
แต่ไม่มีใครผอม(อิอิ) ตั้งแต่ระดับท้วมพองามยันป้าอ้วนปลาพยูนตัวนี้ คนอายุน้อยสุด
๔๘ มากสุด ๗๐ และไม่ต้องเตือนกันให้มากความ
แต่ละคนย่อมรู้สภาพของตัวเองดีว่ามีความสามารถที่จะหอบหิ้วอะไรได้ขนาดไหน
ดีหน่อยที่ขากลับนั้นน้องจุ๋มเธอแนะนำให้พวกเราซื้อน้ำหนักกระเป๋าสำหรับโหลดขึ้นเครื่องกันคนละ
๒๐ กิโลกรัม (ค่าธรรมเนียม ๗๐๐ บาท)
ซึ่งเป็นน้ำหนักขั้นต่ำของแอร์เอเชียที่เปิดขายสำหรับไฟลท์ต่างประเทศ
เพราะขากลับเราไม่ต้องรีบร้อนและแน่นอนว่าแทบทุกคนคงต้องมีของติดไม้ติดมือกลับบ้านเป็นเรื่องธรรมดาถึงแม้จะไม่ได้ตั้งใจไปช็อปปิ้งกันเต็มที่ก็เถอะ
อ้อ! เรื่องรอบคอบที่ต้องมอบถ้วยรางวัลให้จุ๋มอีกอย่างก็คือเธอให้พวกเราเลือกสั่งอาหารเย็นบนเครื่องไว้ล่วงหน้าเลยว่าใครอยากกินอะไรจะได้ไม่มีปัญหา
ทุกอย่างสั่งผ่านระบบออนไลน์จ่ายเงินล่วงหน้าระบุชื่อผู้โดยสารพร้อมที่นั่งไว้เสร็จสรรพทำให้ซื้อได้ถูกกว่าไปสั่งกินบนเครื่อง
เช่น ข้าวผัดกะเพราไข่เจียว สั่งออนไลน์ ๑๕๐ บาท บนเครื่อง ๑๘๐ บาท
เป็นต้น(เรื่องพวกนี้จะไม่เกิดขึ้นถ้าเราบินโดยสายการบินปกติไม่ใช่สายการบินโลว์คอสแบบนี้)
ดึกขนาดนี้แล้วร้านอาหารย่านนัมบะยังมีของให้กิน เพราะคนที่นี่นอนดึก |
ในที่สุดเราก็ได้โบยบินพ้นน่านฟ้าเมืองไทยเสียที(หลายท่านกำลังเริ่มรำคาญอารัมภบทพอดี
กว่าจะได้เดินทางแหมมันช่างเรื่องมากเสียจริง!) ทุกสิ่งอย่างเป็นไปตามแผนที่วางไว้
เราได้ที่นั่งตามที่ต้องการ ได้กินอาหารที่สั่งครบทุกคน...
ยกเว้น...ความเป็นไปของโลก
ฤดูนี้เป็นฤดูมรสุม ถนนบนฟ้าไม่ได้โล่งโจ้งแสนสะดวกอย่างที่คิดนะ
กัปตันต้องพาเครื่องบินอ้อมแนวพายุฝนเพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสารทำให้เสียเวลาไปครึ่งชั่วโมง
และที่ช้ากว่าการคาดหมายก็คือตรงด่านตม.ของสนามบินคันไซ เปิดช่องทางให้ผู้โดยสารเข้าตรวจพาสปอร์ตแค่
๓ ช่อง แถวรอคิวจึงยาวเหยียด
ดังนั้น
แม้พวกเราไม่ต้องไปคอยรับกระเป๋าสัมภาระแต่กว่าจะออกพ้นบริเวณด้านในสนามบินออกมาได้ก็ไม่ทันรถไฟเสียแล้ว!
หิวโหย |
ตกรถไฟ ไม่เป็นไร
ยังมีรถบัส ...
แผนเปลี่ยนตั้งแต่จุดนี้ แต่ทุกคนทำใจไว้แล้ว
คุณนิดผู้เชี่ยวชาญการซื้อตั๋วรถไฟในญี่ปุ่นรับหน้าที่กดตั๋วมาให้ครบทุกคน ๑๒ ใบ(ขอบคุณๆๆๆ)
ระหว่างนั้นเราก็ไปเข้าคิวรอขึ้นรถบัส ซึ่งจะออกตรงเวลาเป๊ะเหมือนรถไฟนั่นแหละ
นั่งสับปะหงกสลึมสลืมด้วยความง่วงงุนอยู่เกือบชั่วโมง
รถก็จอดเทียบข้างถนนย่านนัมบะ คราวนี้ล่ะจากตาปรือเปลี่ยนมาเป็นตาแจ้ง
เพราะได้เวลาแบ็กแพ็กของจริงในโอซาก้าแล้ว
เนื่องจากเราต้องเดินไปหาที่พักละแวกนั้นซึ่งถ้าเป็นกลางวันคงไม่ยากนัก
แต่นี่เป็นกลางคืนเวลาเกือบตี ๑ ของญี่ปุ่น
เวลานั้นแทบทุกคนเกือบหมดสภาพ บ้างเข็นกระเป๋า
บ้างแบกเป้ขึ้นหลัง เดินตามกันเป็นลูกเป็ด
มีคุณนิดผู้เชี่ยวชาโอซาก้าอยู่หัวขบวน...ประมาณ ๒๐ นาทีเราก็ถึงที่พัก
โอซาก้าอยู่ใต้ฝ่าเท้าจริงๆ
แค่คืนแรกก็เดินแล้ว
.....
(ตอนที่ ๔ ของใหม่ อดใจแป๊บนะ)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น