วันอาทิตย์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2558

โอซาก้าใต้ฝ่าเท้า (๓)


พลาด...จึงต้องเผื่อ
........



ตอนที่เราไปถึงสนามบิน วิ่งบมาถึงทางออกก็ไม่ทันรถไฟเสียแล้ว เพราะเวลาตอนนั้น ๐.๐๙ น.

ทุกการเดินทาง สถานการณ์คับขัน ฉุกเฉิน ไม่เป็นไปตามที่วางแผนเอาไว้เกิดขึ้นได้เสมอ ขอบอกว่าต้องเตรียมใจเตรียมกาย เตรียมรับมือเผื่อไว้เลย
บริเวณท่ารถย่านนัมบะที่ส่งเราลงจากรถโดยสาร


ก่อนที่เราจะเดินทางสองวันสนามบินดอนเมืองปั่นป่วนด้วยคำสั่งเข้มให้ตรวจค้นสัมภาระละเอียดยิบตั้งแต่ก่อนเช็คอิน อันเนื่องมาจากนิยายสั้นขนาดยาวที่ “แจ๊ดปืนจิ๋ว” สร้างเรื่องเอาไว้จนปั่นป่วนไปทั่วประเทศทำให้ผู้โดยสารตกเครื่องบินกันระนาวและออกมากระหน่ำด่าการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยทางโซเชียลเน็ตเวิร์คในประเด็นที่การตรวจนี้ไม่ได้แจ้งให้ทราบล่วงหน้าทำให้คนส่วนใหญ่ไม่ได้เผื่อเวลาไว้จึงเกิดเรื่องวุ่นวายที่สนามบินตลอดวัน       





ดังนั้น ผู้โดยสารที่จะเดินทางผ่านสนามบินดอนเมืองจึงถูกเตือนให้เผื่อเวลาไว้อย่างน้อย ๓ ชั่วโมงสำหรับการเดินทางภายในประเทศและ ๓ ชั่วโมงครึ่งถึง ๔ ชั่วโมงในเที่ยวบินต่างประเทศ...พวกเราก็ปั่นป่วนสิ ต้องเลื่อนเวลานัดหมายเร็วขึ้นอีกชั่วโมงครึ่งจากเดิมที่เผื่อเวลาไว้เต็มที่แค่ ๓ ชั่วโมง ยังโชคดีที่เพื่อนส่วนใหญ่ซึ่งมาจากอุดรฯเดินทางถึงดอนเมืองตั้งแต่เช้าส่วนไฟลท์แอร์เอเชียX ไปโอซาก้าเป็นไฟลท์บ่ายสามโมงครึ่งมาตรการนี้ก็เลยไม่ได้สะดุดฝัน...

เวลาประมาณตี ๑ เศษกลางเมืองโอซาก้า

แต่สุดท้ายเมื่อโดนรุมด่าเสียจนหูดับการท่าฯก็จำต้องยกเลิกมาตรการดังกล่าวในอีกสองวันถัดมา เพราะถึงจะค้นกันขนาดนี้มันก็ไม่ได้ช่วยเรื่องมาตรการรักษาความปลอดภัยอะไรเลย เป็นการแสดงขายผ้าเอาหน้ารอดเท่านั้นเอง เนื่องจากบรรดาผู้ใหญ่ในบ้านเมืองนี้ที่มียศมีตำแหน่งมีอำนาจวาสนาบารมี ทั้งที่ยังสวมหัวโขนอยู่และถูกถอดทิ้งไปแล้วที่เรียกกันโก้ๆว่าผู้โดยสารวีไอพี.นั้น ถ้าสันดานเดิมยังหุ้มอยู่พวกเจ้าหน้าที่ขี้ข้าก็คงจะยังรักษามาตรฐานการอุ้มขึ้นเครื่องบินช่องทางพิเศษอยู่เหมือนเคย(ฮา)
หน้าตึกที่เราเดินผ่าน

เรื่องอยากขนอะไรออกไปนั้นอย่าว่าแต่ปืนจิ๋วเลยเงินสดเป็นสิบๆกระเป๋าก็ทำได้จ้า!!!

แต่ช่างหัวการท่าฯมันเถอะ เรามันผู้โดยสารคนเดินดินธรรมดาก็รักษากฏกติกามารยาทตามแบบประชาชนคนไทยเอาไว้ปลอดภัยที่สุด ทุกคนไปก่อนเวลาเครื่องออก ๓ ชั่วโมงตามมาตรฐาน ผ่านทุกด่านด้วยความรวดเร็วเพราะมนุษย์ป้าและมนุษย์ลุงต่างเข้มงวดในเรื่องใช้กระเป๋าเล็ก เบา หิ้วขึ้นเครื่องเองทุกใบ

ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วแต่ละคนมีของในตัวสองชิ้น คือกระเป๋าเสื้อผ้ากับแฮนด์แบ็ก(หรือเป้สะพาย) ต่างคนต่างช่วยตัวเองไม่มีใครทำตัวเอื้ออารีถือให้ใคร แม้แต่สามีภรรยาก็เถอะ(มีสามีภรรยาในทริป ๑ คู่ แต่ถูกจับแยกไม่ให้นอนห้องเดียวกันด้วยข้อจำกัดเรื่องที่พัก)

เดินผ่านถนนแบบนี้ประมาณ ๒๐ นาที


ผู้ชายในทริปทุกคนผอม แข็งแรง ปราดเปรียว ผู้หญิงในทริปรูปร่างหลายขนาดไหลเลื่อนไปตามอายุ แต่ไม่มีใครผอม(อิอิ) ตั้งแต่ระดับท้วมพองามยันป้าอ้วนปลาพยูนตัวนี้ คนอายุน้อยสุด ๔๘ มากสุด ๗๐ และไม่ต้องเตือนกันให้มากความ แต่ละคนย่อมรู้สภาพของตัวเองดีว่ามีความสามารถที่จะหอบหิ้วอะไรได้ขนาดไหน
ดีหน่อยที่ขากลับนั้นน้องจุ๋มเธอแนะนำให้พวกเราซื้อน้ำหนักกระเป๋าสำหรับโหลดขึ้นเครื่องกันคนละ ๒๐ กิโลกรัม (ค่าธรรมเนียม ๗๐๐ บาท) ซึ่งเป็นน้ำหนักขั้นต่ำของแอร์เอเชียที่เปิดขายสำหรับไฟลท์ต่างประเทศ เพราะขากลับเราไม่ต้องรีบร้อนและแน่นอนว่าแทบทุกคนคงต้องมีของติดไม้ติดมือกลับบ้านเป็นเรื่องธรรมดาถึงแม้จะไม่ได้ตั้งใจไปช็อปปิ้งกันเต็มที่ก็เถอะ

อ้อ! เรื่องรอบคอบที่ต้องมอบถ้วยรางวัลให้จุ๋มอีกอย่างก็คือเธอให้พวกเราเลือกสั่งอาหารเย็นบนเครื่องไว้ล่วงหน้าเลยว่าใครอยากกินอะไรจะได้ไม่มีปัญหา ทุกอย่างสั่งผ่านระบบออนไลน์จ่ายเงินล่วงหน้าระบุชื่อผู้โดยสารพร้อมที่นั่งไว้เสร็จสรรพทำให้ซื้อได้ถูกกว่าไปสั่งกินบนเครื่อง เช่น ข้าวผัดกะเพราไข่เจียว สั่งออนไลน์ ๑๕๐ บาท บนเครื่อง ๑๘๐ บาท เป็นต้น(เรื่องพวกนี้จะไม่เกิดขึ้นถ้าเราบินโดยสายการบินปกติไม่ใช่สายการบินโลว์คอสแบบนี้)    

ดึกขนาดนี้แล้วร้านอาหารย่านนัมบะยังมีของให้กิน เพราะคนที่นี่นอนดึก

ในที่สุดเราก็ได้โบยบินพ้นน่านฟ้าเมืองไทยเสียที(หลายท่านกำลังเริ่มรำคาญอารัมภบทพอดี กว่าจะได้เดินทางแหมมันช่างเรื่องมากเสียจริง!) ทุกสิ่งอย่างเป็นไปตามแผนที่วางไว้ เราได้ที่นั่งตามที่ต้องการ ได้กินอาหารที่สั่งครบทุกคน...
ยกเว้น...ความเป็นไปของโลก
ฤดูนี้เป็นฤดูมรสุม ถนนบนฟ้าไม่ได้โล่งโจ้งแสนสะดวกอย่างที่คิดนะ กัปตันต้องพาเครื่องบินอ้อมแนวพายุฝนเพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสารทำให้เสียเวลาไปครึ่งชั่วโมง และที่ช้ากว่าการคาดหมายก็คือตรงด่านตม.ของสนามบินคันไซ เปิดช่องทางให้ผู้โดยสารเข้าตรวจพาสปอร์ตแค่ ๓ ช่อง แถวรอคิวจึงยาวเหยียด 
ดังนั้น แม้พวกเราไม่ต้องไปคอยรับกระเป๋าสัมภาระแต่กว่าจะออกพ้นบริเวณด้านในสนามบินออกมาได้ก็ไม่ทันรถไฟเสียแล้ว!
หิวโหย

ตกรถไฟ ไม่เป็นไร ยังมีรถบัส ...
แผนเปลี่ยนตั้งแต่จุดนี้ แต่ทุกคนทำใจไว้แล้ว คุณนิดผู้เชี่ยวชาญการซื้อตั๋วรถไฟในญี่ปุ่นรับหน้าที่กดตั๋วมาให้ครบทุกคน ๑๒ ใบ(ขอบคุณๆๆๆ) ระหว่างนั้นเราก็ไปเข้าคิวรอขึ้นรถบัส ซึ่งจะออกตรงเวลาเป๊ะเหมือนรถไฟนั่นแหละ
นั่งสับปะหงกสลึมสลืมด้วยความง่วงงุนอยู่เกือบชั่วโมง รถก็จอดเทียบข้างถนนย่านนัมบะ คราวนี้ล่ะจากตาปรือเปลี่ยนมาเป็นตาแจ้ง เพราะได้เวลาแบ็กแพ็กของจริงในโอซาก้าแล้ว เนื่องจากเราต้องเดินไปหาที่พักละแวกนั้นซึ่งถ้าเป็นกลางวันคงไม่ยากนัก แต่นี่เป็นกลางคืนเวลาเกือบตี ๑ ของญี่ปุ่น
เวลานั้นแทบทุกคนเกือบหมดสภาพ บ้างเข็นกระเป๋า บ้างแบกเป้ขึ้นหลัง เดินตามกันเป็นลูกเป็ด มีคุณนิดผู้เชี่ยวชาโอซาก้าอยู่หัวขบวน...ประมาณ ๒๐ นาทีเราก็ถึงที่พัก
โอซาก้าอยู่ใต้ฝ่าเท้าจริงๆ แค่คืนแรกก็เดินแล้ว 

.....

(ตอนที่ ๔ ของใหม่ อดใจแป๊บนะ)


โอซาก้าใต้ฝ่าเท้า(๒)


แบ็กแพ็กเกอร์วัยทอง
...
คุณนิด ผู้จัดการเรื่องหาที่พัก ขอบคุณนะคะ


ระหว่างที่พวกเราเคว้งคว้างอยู่กลางอากาศคุณนิด @Suchada Lee ก็ยื่นมือน้อยๆของนางฟ้ามาให้เกาะ เพราะเธอสามารถเสาะหาที่พักจากเว็บไซต์ airbnb.com มาได้ในที่สุด
ใครที่เคยจองที่พักจากเว็บไซต์นี้ก็ย่อมจะรู้ว่าห้องพักมักจะไม่ใช่โรงแรมแต่เป็นอพาร์ตเมนต์เล็กๆ หรือห้องส่วนเกินในบ้านที่เจ้าของอยากทำให้เกิดรายได้ก็เลยแบ่งให้แขกเข้าพักเป็นครั้งคราว มีทั้งแบบที่เป็นห้องในบ้านอยู่ร่วมกันกับเจ้าของเลย และแบบอพาร์ตเมนต์ที่ตั้งใจจัดไว้ให้เช่าแบบชั่วคราวหรือรายวัน
ปัญหาของเราคืออพาร์ตเมนต์ชุดแรกแรกที่จองได้ในย่านนัมบะมีห้องว่างแค่ ๓ ห้อง พักได้ไม่เกิน ๙ คน(ที่จริงแต่ละห้องเล็กมากเหมาะที่จะพักแค่ ๒ คนเท่านั้น แต่เจ้าของเห็นใจเราก็เลยยอมให้ยัดเพิ่มเข้าไปเป็นห้องละ ๓ ถึงกระนั้นก็ต้องแยกอีก ๓ ชีวิตไปนอนที่อื่น
ปรากฏว่าโชคดีมากที่ได้ห้องพักย่านใกล้เคียงกันไม่ไกลจากสถานีรถไฟใต้ดิน นิปปอนบาชิ” (Nipponbashi) เท่าใดนักและเดินไปอีกไม่ไกลก็ถึงสถานีนัมบะ เพียงแต่ต้องแยกทิศเดินจากกันไปคนละทางเท่านั้นเอง
ห้องนี้ถือว่าหรูหรามากสำหรับคนแบกเป้

airbnb.com ให้เราจ่ายเงินล่วงหน้าผ่านระบบออนไลน์และ Host หรือเจ้าของห้องจะเป็นผู้ติดต่อเราทางอีเมลเพื่อบอกรายละเอียดการเดินทางไปที่พัก โดยสามารถติดต่อผ่านหลายช่องทาง บางคนมีเฟซบุ๊คและไลน์ด้วย รวมทั้งทางโทรศัพท์ ผู้เช่าจะได้เห็นภาพห้องพักที่ Host ส่งมาให้และรู้ว่าภายในห้องมีสิ่งอำนวยความสะดวกอะไรบ้าง เก่าหรือใหม่แค่ไหน เพื่อให้เราเตรียมตัวเตรียมใจล่วงหน้าว่าต้องไปอยู่อาศัยในสภาพอย่างไรในช่วงเวลาสั้นๆนั้น และบอกข้อมูลคร่าวๆว่าการคมนาคมจากที่พักไปย่านสำคัญต่างๆต้องเดินทางอย่างไร
หน้าตาของ ๓ ห้องแรกที่จองได้ ปลายฟูกคือครัวกระจิ๋วหลิวแบบนี้ ประมาณว่าลุกจากที่นอนก็เจออ่างล้างจานเลย

สรุปแล้วที่พักของเราสามห้องแรกเป็นอพาร์ตเมนต์รังหนูแบบที่คนไปเที่ยวญี่ปุ่นประจำจะเข้าใจดี ส่วนอีกห้องเป็นอพาร์ตเมนต์ใหม่หน่อยขนาดห้องใหญ่กว่านิดหน่อย และแยกส่วนครัวเล็กจ้อยไว้ต่างหากด้วยประตูกั้น ทำให้พื้นที่นอนโล่งขึ้น นอนสามคนไม่เบียดกันนัก มีทั้งเตียงและฟูกวางกับพื้นกว้างพอที่จะนอนดิ้นได้ไม่ตก ถือว่าคุณภาพห้องพักไม่เลวทีเดียวแหละ เฉลี่ยค่าห้องพักสามห้องแรกต่อคนรวมค่าบริการทุกอย่างแล้วคืนละ ๑,๑๐๐ บาท ส่วนอีกห้องแพงกว่านิดหน่อยแต่ไม่เกิน ๑,๕๐๐ บาทต่อคน/คืน
ห้องน้ำจิ๋วของห้องราคาถูก

เราตกลงกันว่าจะอยู่ที่นี่ยาวติดต่อกัน ๖ คืนไปเลย แม้จะไปเที่ยวโกเบและเกียวโตเป็นบางวันก็จะใช้วิธีเดินทางแบบเช้าไปเย็นกลับ เพราะการคมนาคมสะดวก นั่งรถไฟไปแต่ละจุดไม่เกิน ๑ ชั่วโมง และรถไฟญี่ปุ่นแสนจะตรงเวลา แทบไม่พลาดสักวินาทีเดียว จึงไม่จำเป็นต้องลากกระเป๋าย้ายเมืองไปมา เพราะนั่นหมายถึงว่าจะมีภาระต้องหาห้องพักใหม่ถึง ๓ จุดด้วยกันในช่วงฤดูร้อนที่นักท่องเที่ยวเต็มเมืองซึ่งจะกลายเป็นเรื่องยุ่งยากอย่างแรง 
ดังนั้นสิ่งที่ต้องจัดการให้คุ้มค่าที่สุดก็คือเรื่องตั๋วรถไฟซึ่งมีให้เลือกซื้อหลายแบบขึ้นอยู่กับลักษณะการท่องเที่ยวที่ออกแบบเอาไว้ว่าจะไปไหนบ้าง แต่ละแห่งจะไปชมอะไร ที่ไหน ซึ่งพวกนี้ต้องศึกษาข้อมูลกันล่วงหน้าเอาไว้ด้วย

ห้องน้ำของอีกอพาร์ตเมนต์หนึ่ง


เรื่องตั๋วรถไฟญี่ปุ่นสำหรับนักเดินทางต่างชาติในโอซาก้าน่าสนใจที่จะเรียนรู้เอาไว้สำหรับใครที่อยากเที่ยวในปีนี้และปีหน้าเพราะมีโปรโมชั่นที่ราคาถูกมากๆ ถ้าซื้อได้ถูกต้องกับการใช้งานจะประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทางได้อย่างมหาศาล แต่ยังจะไม่เล่าตอนนี้หรอกนะเพราะกลัวจะยาวไป
เอาเป็นว่าเราได้ที่พักแล้วสบายใจได้ แต่ยังมีโจทย์ที่ต้องตอบในเรื่องเวลาปลายทางถึงสนามบินตอน ๕ ทุ่มซึ่งถือว่าดึกมาก แทบจะเป็นเที่ยวบินสุดท้ายของสนามบินคันไซเลยทีเดียว น้องจุ๋มผู้เชี่ยวชาญการท่องโลกด้วยตัวเองมาแล้วร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำจึงขอร้องทุกคนว่า เพื่อความคล่องตัวในการออกจากสนามบินหลังผ่านด่านตม.แล้วไม่ควรไปเสียเวลารอรับกระเป๋าอีกเพราะรถไฟเข้าเมืองรออยู่และออกตรงเวลาเป๊ะ ดังนั้นขอให้ทุกคนเดินทางด้วยกระเป๋าเล็กที่ถือติดตัวขึ้นเครื่องบินได้ น้ำหนักไม่เกินคนละ ๗ กิโลกรัมเท่านั้น!
ห้องราคาแพงมีเครื่องซักผ้าด้วย

เอาล่ะซี พวกเราส่วนใหญ่มีแต่พวกที่เคยเดินทางแบบมีบริการเต็มเพียบแทบจะอุ้มกันไปโน่นมานี่ บัดนี้ต้องมาจำกัดจำเขี่ยแพ็กกระเป๋าที่หนักไม่เกิน ๗ กิโลกรัม นั่นหมายความว่าต้องยัดของใช้จำเป็นทุกสิ่งอย่างลงไปในนี้ให้หมด จะมาเอาเสื้อผ้ามากมายไปเปลี่ยนทุกวันแล้วมีเผื่อเหลือเผื่อขาดอีกสองสามชุดแบบที่เคยชินไม่ได้อีกแล้ว
รองเท้าก็อย่าคิดว่าจะเอาไปเปลี่ยนนะ ต้องทำใจที่จะใส่เสื้อผ้าซ้ำบ้างเน่าบ้าง แม้ที่พักบางห้องจะมีเครื่องซักผ้าให้ แต่ก็อย่าหมายว่าจะมีที่ตากผ้ารับแดดอย่างบ้านเรา ส่วนมากใช้วิธีเอาลมร้อนจากคอมแอร์เป่าเท่านั้นแหละ
นี่ไงแบ็กแพ็กเกอร์สมบูรณ์แบบล่ะ แต่ว่าพวกเรามันมนุษย์ลุง-ป้า ๕๐ อัพกันทุกคนแล้วนะ มีเด็กอ่อนสุดในกลุ่มคือน้องตาก็ปาเข้าไปตั้ง ๔๘
จะไหวไหม...จะไหวไหม?

....
ครัวของห้องราคาแพงก็ดูดีมีสกุล



วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2558

โอซาก้าใต้ฝ่าเท้า (๑)








ก่อนจะโบยบิน
.........



จะเล่าเรื่องไปเที่ยวเมืองโอซาก้าสู่กันฟัง เพราะเพื่อนหลายคนอยากตามรอยมนุษย์ป้าฉายา หัวใจสาวในร่างชราคนนี้ ที่ไม่เจียมสังขารดันคิดจะแบกเป้ไปเที่ยวในช่วงวัยที่หนังเหี่ยวพุงย้อยใกล้หมดสภาพแล้ว
         เรื่องนี้ต้นเหตุมาจากตอนต้นเดือนมิถุนายน ๕๘ จุ๋ม” @Boondharik Sanpha-asa น้องรักอักษรทับแก้วรุ่น ๑๒ ส่งไลน์กรุ๋งกริ๋งมาถามว่า
         “พี่...หนูมีตั๋วโอซาก้าราคาถูกอยู่....(เลขสี่หลัก) อยากเอาไหม เดินทางวันที่...


         แค่ได้ยินตัวเลขราคาตั๋วเครื่องบินเท่านั้นแหละยัยป้าปลาพยูนกระโดดตีลังกาเกลียวหนึ่งรอบงับไว้เลย ทั้งที่ยังไม่รู้ว่าจะไปเที่ยวที่ไหนกันบ้างหรือจะไปกันไปกี่คน

         กรุณาอย่าถามราคาตั๋วเพราะคงไม่มีใครซื้อให้ได้อีกแล้ว น้องสาวเราหามาได้ก็เพราะลูกชายเธอเปิดบริษัททัวร์ชื่อ Max Tour ซึ่งกำลังเป็นทัวร์ดาวรุ่งพุ่งแรงของบคนรุ่นใหม่วัยโจ๋อยู่ที่จังหวัดอุดรธานี บวกกับวิธีแลกแต้มจากคะแนนสะสมแอร์เอเชียของเธอและเพื่อนในทีม

         โดยเฉพาะคุณนิด @Suchada Lee ซึ่งไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นน้องสาวของคุณวสันต์ ภัยหลักลี้ อดีตเพื่อนร่วมงานที่เคยสนิทสนมกันกับป้าปลาพยูนเพราะเข้ามาทำงานหนังสือพิมพ์มติชนรุ่นเดียวกัน(โลกนี้กลมจริง)



         เอาล่ะพอได้ตั๋วมาแล้วรายละเอียดก็ค่อยๆเผยออกมาว่าเราจะมีสมาชิกร่วมทีมกันไป ๑๒ คน หญิง ๙ ชาย ๓ และหนึ่งในนั้นคืออาจารย์ถิ่น @Suteera Apinyaเพื่อนเลิฟอักษรทับแก้วรุ่นเดียวกันของยัยป้าปลาพยูนแต่เราช่วยกันปิดบังไม่ยอมให้เธอรู้ว่าป้าอ้วนจะไปด้วย(เรื่องนี้ทำเอาเธอตาเหลือกตอนป๊ะหน้ากันที่สนามบิน)

         ส่วนแผนการเที่ยวนั้นเสียงส่วนใหญ่มีมติว่าเราจะหาข้อมูลเที่ยวกันเอง แยกกันเดินบ้าง ตามก้นกันบ้าง แล้วแต่ว่าใครถูกจริตกับสิ่งไหน โดยจะแชร์ห้องพักกันในย่านที่เดินทางสะดวก

         หลังจากคอนเฟิร์มตั๋วภายใน ๑ สัปดาห์นั้นก็ต้องรีบหาห้องพักกันจ้าละหวั่นเนื่องจากช่วงที่เราเดินทางนั้นเมืองโอซาก้ามีงานเทศกาลฤดูร้อนใหญ่ยักษ์ประจำปี คือเทศกาล Tenjin Matsuri ซึ่งจะมีผู้คนเป็นล้านๆทั้งคนญี่ปุ่นและต่างชาติแห่กันมาเที่ยวชมงาน
...


         เอาล่ะซี เจอปัญหานี้เข้า ที่พักหายากมากและราคาแพงแน่นอน

         นี่ก็เป็นโจทย์ใหญ่สำหรับการเที่ยวกันเองที่พวกเราอยากประหยัดงบประมาณ ดังนั้นจึงต้องคิดวางแผนกันให้ละเอียดรอบคอบเพื่อจะให้เสียค่าที่พักและค่าเดินทางสมเหตุสมผลที่สุด คุ้มค่ากับราคาที่ต้องจ่ายที่สุด จะได้มีเงินเหลือไปกินเที่ยวชมโน่นดูนี่ให้สบายใจหน่อย เพราะไหนๆก็ได้ตั๋วเครื่องบินถูกแล้วจะได้มีเงินไปฟุ่มเฟือยกับรสนิยมส่วนตัวของแต่ละคนกันอย่างเต็มที่

         แต่ก็เป็นที่รู้กันว่าการไปท่องเที่ยวในญี่ปุ่นนั้นค่าใช้จ่ายแพงที่สุดมีอยู่สองอย่างคือที่พักและค่าเดินทาง ต้องขอบคุณ @คุณนิด ผู้เสียสละเวลามากมายในการหาข้อมูลและวางแผนที่พัก-การเดินทางให้ รวมทั้งออกแบบวิธีการซื้อตั๋วให้พวกเราได้ใช้อย่างคุ้มค่าเงินที่สุดในฐานะที่เธอเคยมาทำงานวิจัยในญี่ปุ่นหลายเดือนและเชี่ยวชาญการขึ้นล่องแถบคันไซ โอซาก้า-เกียวโต ชนิดที่เป็นหูตาให้เราได้ทั่วถึง

         บอกได้เลยว่าทริปนี้ถ้าไม่มีคุณนิด บรรดาลูกเป็ดหลายคนในคณะมีหวังเคว้งคว้างอยู่กลางเมืองโอซาก้านั่นเอง

         เรามีโจทย์สำคัญในการหาที่พักคือ ต้องหาให้ได้ใกล้กับสถานีรถไฟนัมบะ(Namba Station) มากที่สุด เพราะนัมบะเป็นชุมทางสถานีรถไฟใหญ่ของโอซาก้า รถไฟสายหลักๆของเมืองทั้งสายรัฐบาลและเอกชนต่างมาชุมนุมกันที่นี่หรือไม่ก็เป็นต้นสายปลายทางเลย

         จุ๋มกับคุณนิดวางแผนการเดินทางจากสนามบินคันไซเข้าเมืองเผื่อไว้ ๒ แผนคือ แผนแรกนั่งรถไฟสายนานไก(Nankai Electric Railway) จากสนามบินเข้าไปลงสุดสายที่นัมบะเลย แต่รถไฟขบวนสุดท้ายจะออกเวลา ๒๓.๒๙ น. มีแนวโน้มว่าเราจะไม่ทันเพราะเที่ยวบินที่จองได้เวลาเดินทางไม่สวยนัก แลนดดิ้งที่โอซาก้าเกือบ ๕ ทุ่ม เราต้องหาทางไปให้ถึงชานชาลารถไฟและซื้อตั๋วให้ทัน ซึ่งมีทั้งความเป็นไปได้และเป็นไปไม่ได้
        



ดังนั้นจึงต้องสำรองแผน ๒ คือนั่งรถ Shuttle Bus จากสนามบินคันไซเข้าเมือง เพราะรถบัสจะมีจนถึง ๐๑.๐๐ น. และถ้าหากมีผู้โดยสารตกค้างที่สนามบินเยอะมากทางเจ้าหน้าที่ก็จะจัดรถมาบริการให้เพียงพอจนสามารถส่งทุกคนเข้าเมืองได้ครบถ้วน(รักบ้านเมืองญี่ปุ่นตรงนี้แหละ ตรงที่เขามีระเบียบวินัยเคร่งครัดแต่ไม่ยอมให้ระเบียบกติตามาข่มเหงให้คนเสียประโยชน์สุขได้) 
       
         ทั้งรถบัสและรถไฟมีจุดหมายปลายทางที่สถานีนัมบะ ที่พักก็ไม่ควรไกลเกินกว่าระยะก้าวที่สามารถมีแรงเดินถึง เพราะต้องคำนึงว่าดึกดื่นปานนั้นการสังเกตุทางจะยากกว่าเวลากลางวัน แถมเรายังนั่งอุดอู้อยู่บนเครื่องบินมานานกว่า ๕ ชั่วโมง คงอยู่ในสภาพที่ไม่สมประกอบสักเท่าไหร่

         พอสรุปเรื่องการเดินทางจากสนามบินได้เรียบร้อยก็ต้องไปแก้โจทย์เรื่องที่พักราคาพอเหมาะแก่เงินในกระเป๋าซึ่งหากยากแสนยากต่อ
        
         ......


         (โปรดติดตามตอนต่อไป)

วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ผู้ชายนุ่งกระโปรง... พ่อพันธุ์ชั้นดี






ไปงานแต่งงานญาติเพื่อสนิทที่เมืองกลาสโกว ประเทศสก็อตแลนด์เมื่อหลายปีก่อน เห็นผู้ชายนุ่งกระโปรงกันเต็มงาน
รู้สึกงามหูงามตาอย่างมากมาย
กระโปรงลายสก็อตหรือ Kilts เป็นเครื่องแต่งตัวของหนุ่มสก็อตติชในงานพิธีการต่างๆ รวมทั้งเป็นเครื่องแบบบังคับของมัคคุเทศก์ท้องถิ่นกับคนเป่าปี่สก็อต(Bag pipe) ถือว่าเป็นชุดประจำชาติที่คนสก็อตภาคภูมิ ใจยิ่งนัก และจะหยิบมาใส่ในทุกโอกาสสำคัญ อวดหล่อกันเต็มที่
            ว่ากันว่าคนสก็อตนุ่งกระโปรงแบบนี้มาตั้งแต่สมัยโบราณ จนกระทั่งเสียเอกราชให้อังกฤษในปี ค.ศ.1707 ก็ยังไม่ยอมทิ้งเอกลักษณ์นี้ แต่การตั้งชื่อลวดลายตาหมากรุกตามชื่อตระกูลนั้นเพิ่งจะมาได้รับความนิยมเอาในศตวรรษที่ 19 ในสมัยวิคตอเรียนี่เอง
ลวดลายสีสันตาหมากรุกแต่ละแบบนั้นเป็นลายเฉพาะของแต่ละตระกูลที่สืบทอดกันมาตั้งแต่ต้นตระกูลคนแรก ไม่ว่าสาแหรกตระกูลจะจะแตกแขนงออกไปมากมายเพียงไหน ลายผ้านั้นก็จะยังอยู่ติดตัวทายาทตลอดไป บางตระกูลมีลายผ้ามาก 3-4 ลาย บางตระกูลอาจจะมีเพียงลายเดียวขึ้นอยู่กับต้นทางที่มา


            ตั้งแต่อดีตจนบัดนี้ บรรพบุรุษต้นตระกูลชาวสก็อตประมาณ 5,000 ตระกูล(clans) จดทะเบียนลายผ้าตาหมากรุกเอาไว้มากถึง 7,000 แบบ และมีสีสันแตกต่างกันออกไปถึง 30,000 ลวดลาย กลายเป็นเอกลักษณ์ที่คนรู้จักไปทั่วโลกเช่นเดียวกับสก็อตวิสกี้ 
            หนุ่มสก็อตจะนิยมสวมกระโปรงในหลายโอกาส ตั้งแต่ใส่เป็นชุดลูกเสือ ไปล่าสัตว์ ไปงานเต้นรำ งานแต่งงาน และในอดีตเคยใช้เป็นชุดเครื่องแบบของกองทหารอังกฤษด้วย ซึ่งเมื่อก่อนแต่ละคนจะต้องใส่ผ้าของตระกูลตัวเองเท่านั้น แต่ปัจจุบันเลือกใส่ตามความชอบได้โดยไม่มีเงื่อนไข มีแต่คนแถบภาคเหนือเท่านั้นที่ยังเคร่งครัดรักษาธรรมเนียมสวมเฉพาะผ้าตาหมากรุกของตัวเองอยู่ 
            ส่วนประกอบของเครื่องแต่งกายประจำชาติชาวสก็อตนี้ นอกจากกระโปรงลายสก็อตซึ่งด้านหน้าเป็นแผ่นเรียบและด้านหลังจับจีบเป็นพลีทแล้ว ยังจะต้องมี เข็มขัด แจ็คเก็ต สปอร์รัน(
Sporran-กระเป๋าผูกเอวห้อยไว้ด้านหน้าทำจากหนังสัตว์ตกแต่งลวดลายและเครื่องประดับสววยงามตามแต่โอกาสการสวมใส่) เข็มกลัด ถุงเท้ายาว รองเท้าหุ้มส้นชนิดพื้นหนา และมีดพกสเกียน ดุห์ (Sgian Dubh) อาวุธประจำกายที่เสียบไว้กับถุงเท้าด้วยถึงจะสมบูรณ์แบบ


            ความยาวของกระโปรงจะอยู่ที่ระดับหัวเข่า ไม่สั้นหรือยาวไปกว่านี้ เป็นกระโปรงผ้าวูลที่ทอจากขน สัตว์หยาบๆ โดยผ้าตาสก็อตโดยจะมีน้ำหนักผ้าประมาณหลาละ 1 ออนซ์เป็นอย่างน่อย แต่ก็มีให้เลือกทั้งแบบน้ำหนักมากและน้ำหนักเบาตั้งแต่หนัก18-22 ออนซ์ หรือเบาๆแค่ 10-11 ออนซ์ตามแต่ลักษณะการใช้งาน ส่วนใหญ่แล้วน้ำหนักของผ้าที่กำลังสวมสบายอยู่ที่ประมาณ 13-16 ออนซ์เพราะถ้าเบาเกินไปผ้าก็จะไม่ทิ้งตัว แต่ก็เหมาะสำหรับใส่ในหน้าร้อนหรือในกิจกรรมที่ต้องการความคล่องตัวสูง หรือต้องการให้เห็นความสวยงามเวลาพลีทคลี่บานตามจังหวะการเต้นรำแบบไฮแลนด์ 
             กระโปรงแต่ละตัวสำหรับผู้ใหญ่ตามมาตรฐานจะใช้ผ้าประมาณ 6–8 หลา หรืออาจจะยาวกว่านี้ขึ้นอยู่กับแบบว่าจีบลึกหรือตื้นและขนาดลำตัวผู้สวมใส่ และการทอจะเป็นแบบเก็บริมผ้าเรียบร้อยในตัวไม่ต้องมาเย็บสอยกันอีก


ทุกวันนี้ยังมีการออกแบบลวดลายใหม่ๆของผ้าตาสก็อตอยู่เสมอ เป็นลายผ้าประจำเมืองบ้าง  ประจำสถาบันการศึกษา ประจำทีมกีฬาแต่ละประเภท เป็นต้น แต่ยังคงรักษาวิธีการย้อมสีธรรมชาติตามแบบดั้งเดิมเอาไว้ ซึ่งแรกเริ่มมี 3 สีหลักๆ คือ แดง เขียว น้ำเงิน และต่อมาสีเหล่านี้ก็ออกลูกออกหลานเป็นโทนอื่นๆ ต่างกันไปนับร้อยนับพันเฉดสี แต่กลุ่มสีที่นิยมยังเป็นสีแบบเอิร์ธโทนหม่นๆ
            ลายผ้าประจำชาติของชาวสก็อตนี้ อาจจะบ่งบอกถิ่นที่อยู่ของคนสวมใส่ รวมทั้งสายตะกูลโคตรเหง้าเหล่ากอได้  แต่ก็ไม่สามารถบ่งบอกถึงฐานะของผู้สวมใส่ได้ เพราะทั้งไพร่และเจ้าก็จะใช้ผ้าวูลลักษณะเดียวกันหมด ผิดกับผ้าทอของไทยที่แบ่งยศศักดิ์ของผู้ใช้ตามเนื้อผ้า เราจึงมีผ้าทอสำหรับราชสำนักและชาวบ้านแยกกันออกไป
            มีเกร็ดเล่ากันสนุกๆว่าสปอร์รันที่ห้อยตรงหน้าขานั้นคนยุโรปใช้กันมาตั้งแต่ยุคกลางแล้วเพราะเสื้อผ้าสมัยก่อนยังไม่มีกระเป๋าในตัว ต้องใช้หนังสัตว์เย็บเป็นถุงผูกติดไว้กับเอวสำหรับใส่ของใช้ส่วนตัวที่สำคัญ
และประโยชน์อีกอย่างก็คือมันทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันจุดสำคัญของหนุ่มๆได้ด้วยเพราะสมัยโน้นเขายังไม่มีกางเกงในนุ่งกัน !
แต่...แต่ว่า อันนี้เป็นเรื่องดีมากๆนะคะ และอย่าเพิ่งอมยิ้มค่ะ
ล่าสุดเพิ่งมีผลการวิจัยชิ้นหนึ่งจากสก็อตแลนด์บอกว่า การใส่คิลท์ทำให้สเปิร์มของคุณผู้ชายแข็งแรงดีมาก
แปลว่าคุณผู้ชายที่ใส่คิลท์แบบสก็อตนี้เป็นพ่อพันธุ์ที่ดีสุดๆ

งานวิจัยนี้เป็นของ ดร.เออร์วิน คอมแพนจ์ ที่ตีพิมพ์ในวารสารสกอตติช เมดิคัล เจอนัล เผยถึงเหตุผลที่ให้ผู้ชายซึ่งนุ่งคิลท์กลายเป็นหนุ่มที่มีสมรรถภาพทางเพศดีเยี่ยม สเปิร์มแข็งแรงสุดๆ ออกศึกเมื่อไหร่ รับรองได้ว่าสามารถเสกเบบี๋เข้าท้องคุณผู้หญิงได้ค่อนข้างมาก
คำอธิบายคือ การนุ่งคิลท์ทำให้อุณหภูมิของถุงอัณฑะลดลงเป็นผลดียิ่งต่อการผลิตสเปิร์มทั้งในแง่ของปริมาณและคุณภาพ เพราะการที่หนุ่มๆไม่ใส่กางเกงชั้นในจะทำให้รู้สึกโปร่งโล่งสบาย ไม่รัดรึงและไม่ร้อน จึงทำให้อุณหภูมิภายในถุงอัณฑะตกลงมาอยู่ในสภาวะที่เหมาะสมที่สุดในการผลิตสเปิร์ม คือต่ำกว่าแณหภูมิร่างกายราว 3 องศาเซลเซียส  
          
  
           ก่อนหน้านี้มีผลการศึกษาวิจัยมาตั้งแต่ยุค 80 แล้วว่าการใส่กางเกงรัดแน่นมีผลต่อสมรรถภาพในการสืบพันธุ์ของคุณผู้ชายโดยตรง เพราะจะทำให้อุณหภูมิภายใต้ร่มผ้าสูงขึ้น 3.5 องศา เป็นตัวการทำให้ อัณฑะผลิตสเปิร์มได้ลดลง แถมของที่ผลิตได้อาจไม่แข็งแรงอีกด้วย
            คุณผู้ชายบ้านไหนมีลูกยาก...ลองเปลี่ยนมานุ่งกระโปรง หรือไม่ก็ใส่กางเกงหลวมๆ แล้วโยนกางเกงชั้นในทิ้งดูไหมคะ...เผื่อจะได้ผล  


            .....