วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

คิดถึง "เวนิส"


คิดถึง “เวนิส”


เคยไปที่ไหนแล้วตกหลุมรักจนถอนใจไม่ขึ้นบ้างไหมคะ?

          “เวนิส” เป็นสาวเจ้าเสน่ห์ในแบบนั้น แบบที่สามารถทำให้ใครๆ เกิดอาการรักแรกพบจนอ่อนระทวยแทบจะม้วยมรณ์ได้ในทันทีที่สบตา
          ในความรู้สึกของฉัน เวนิสทั้งเมืองเหมือนภาพวาดที่งามสุดแสนด้วยฝีมือจิตรกรชื่อก้องโลก เป็นภาพหลากมิติที่ผู้ครองนครนำขึ้นประดับอยู่ในโถงรับแขก ดึงดูดให้พิศเพลินด้วยมนต์สะกดแห่งสีสันและเรื่องราว
          ไม่ว่าจะมีเวลาเพียงช่วงวันหรือข้ามคืน เวนิสก็คุ้มค่าต่อการเหยียบย่างไปเยือน ให้ฝ่าเท้าของเราเรียกหาสัมผัสพิเศษของการยืนอยู่บนท่อนซุงกลางทะเลที่บัดนี้ฝังแน่นหยัดอยู่บนชั้นดินดานแข็งแกร่ง รอคอยที่จะเผชิญการคุกคามจากสภาวะโลกร้อนที่นำพาน้ำทะเลมาเยือนหน้าประตูบ้านปีละน้อย
          และอีกไม่นานภูมิศาสตร์ที่แท้จริงของเวนิสก็จะปรากฏโฉม คือการคืนกลับเป็นหนึ่งเดียวกับท้องทะเล


       

         

          ฉันหลงรักเวนิสในตัวตนที่ซ่อนอยู่ใต้หน้ากาก ไม่ใช่เวนิสแบบคาร์นิวาลในเทศกาลท่องเที่ยวที่ผู้คนหลั่งไหลไปแย่งชิงพื้นที่ อาหาร สินค้า รวมทั้งหน้ากากคาร์นิวาล เอกลักษณ์แห่งเวนิส
          ฉันหลงรักยามเช้าตรู่ ห้วงขณะที่ทางเดินริมคลองใหญ่ร้างผู้คน แต่แดดสีทองไม่เคยเบื่อหน่ายจะฉายแสงทาบทับสู่โดมสีขาวสะอ้านของวิหารซานตามาเรีย
          หลายปีก่อนโน้น เวนิสคือความสุขยามเช้าที่ได้ทอดน่องรับอรุณเรืองไปกับใครบางคนที่คุยได้ไม่เบื่อ ไม่มีหน้ากากของความแปลกหน้ามาขวางกั้น ไม่มีท่าทีความห่างเหินที่ต้องรักษา ไม่ต้องระมัดระวังยามพูดจา หัวเราะ หรือทอดถอนใจ 
          เพื่อนร่วมทางแบบนี้นับวันมีแต่จะลดน้อยถอยลงตามวัยที่เพิ่มขึ้นและบทบาทที่เปลี่ยน แปลงไป และในที่สุดก็จะหายสาบสูญไปจากชีวิตเรา เหลือไว้แต่คนแปลกหน้าที่พูดจาสื่อสารคนละความหมายกับความในใจที่แท้... ไม่ต่างกับตอนที่เวนิสใส่หน้ากาก



         

          ฉันหลงรักร้านกาแฟเล็กๆ ที่เรียงรายอยู่ริมคลอง ตั้งเก้าอี้ล้ำทางเดินเชิญชวนให้แวะพักอาบแสงตะวัน จิบเอสเพรสโซเข้มข้นแบบกาแฟอิตาเลียนแท้ที่โชยกลิ่นจรุงไปทั่วคุ้งน้ำ

          ใครบางคนก็ชอบที่จะอาศัยเอสเพรสโซเป็นเพียงทางผ่านของการสื่อสารเพื่อผูกมิตร บนโต๊ะสวยริมทางเท้า กาแฟหลายแก้วเย็นชืดไปแล้ว แต่บทสนทนาเพิ่งออกรส บางทีคนแปลกหน้าก็กลายมาเป็นเพื่อนสนิทได้เพียงแค่เดินชนกันบนถนน หรือไม่ก็แค่รอคิวซื้อกาแฟร้อนๆในคาเฟ่เดียวกัน
          และฉันก็หลงรักเพียซซ่า ซานมาร์โก้ ยามพลบค่ำที่รวมทุกอย่างซึ่งเป็นเวนิสไว้ที่นั่น ประดุจห้องรับแขกที่ไม่เคยเบื่อหน่ายในการต้อนรับผู้คน ใครอยากนั่งเล่นเพื่อพูดคุยสังสรรค์ อยากดื่มกิน หรือเดินชมโบสถ์ยุคไบแซนไทน์อันวิจิตร ห้องโถงมหึมาแห่งนี้ก็เปิดประตูต้อนรับอย่างเต็มใจทุกฤดูกาล
          คนจำนวนมากมาเวนิสเพื่อจะเปิดหน้ากากของเธอออกให้เห็นเนื้อใน แต่ใครบางคนก็มาเพื่อจะเลือกซื้อหน้ากากปิดบังตนเองไว้
          กระนั้น ความรัก ความชัง ก็ยังลอดผ่านหน้ากากอันเย็นชาออกมาได้
         

         
          คิดถึงเธอเวนิส...และคิดถึงเขา เราคงไม่มีวันได้ไปทีนั่นด้วยกันอีกแล้ว
          แน่ล่ะ คนบางคนมีไว้แค่คิดถึง มิใช่ให้อยู่ข้างๆ และสถานที่บางแห่งก็ไม่ควรไปซ้ำให้โหยหา
          ......

         สุมิตรา จันทร์เงา
         #ความคิดถึงทำให้หัวใจอ่อนหวาน

วันจันทร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ปลากะพงพิโรธ




คืนพระจันทร์เต็มดวง
ผู้หญิงที่เป็นเพื่อนรักสามคนนั่งคุยกันริมทะเลสาบ
พวกเธอต่างมีลูก ลูกของเธอเป็นเพื่อนกัน
พวกเธอต่างมีสามี สามีของเธอรู้จักกัน

กลางฟ้าพระจันทร์เต็มดวงฉายแสงนวลเอิบอาบ 
เป็นคืนที่พระจันทร์สวยจัด สะท้อนเงาให้เห็นอีกดวงอยู่บนผิวน้ำกว้างของบึงใสที่เกิดจากการขุดดินไปทำสนามกอล์ฟ บัดนี้กลายเป็นแหล่งรับน้ำธรรมชาติของชุมชนและเสริมภูมิทัศน์ ริมสนามกอล์ฟให้งดงาม
ริมบึงฝั่งทิศตะวันตกเป็นร้านอาหารที่มีวิวตระการตาที่สุดเมื่อเทียบกับร้านอาหารชั้นดีระดับเดียวกันของหมู่บ้าน บริเวณร้านกว้างขวางทอดยาวขนาบตามทะเลสาปในแนวเหนือใต้ เป็นร้านอาหารที่เน้นพื้นที่เปิดโล่งเกือบทั้งหมด
โต๊ะเก้าอี้สีขาววางเรียงรายแนบอยู่กับน้ำ มีการเล่นระดับจัดวางเพื่อเปิดรับวิวรอบด้านเกือบรอบตัวไม่มีใครบังใคร  โต๊ะเก้าอี้อีกกลุ่มจัดวางแนบชิดอยู่กับผืนน้ำบนแพไม้ที่ต่อยื่นลงไปแนบไอเย็น
บรรยากาศโล่งกว้างแสนสบาย รายรอบด้วยพื้นที่สีเขียวของสนามกอล์ฟและไม้ใหญ่เขียวชอุ่มของบ้านริมน้ำหลายหลังที่เหลือรอดมาจากมหาอุทกภัย
ลมเย็น อากาศดี มีโอโซนมากที่สุดของแถบนี้ เวลานั่งอยู่ริมบึงจึงคล้ายกับกำลังนั่งอยู่ริมทะเลหัวหิน ไม่มีสิ่งใดบดบังสายตาเมื่อมองออกสู่ผืนน้ำเวิ้งว้าง

ผู้หญิงทั้งสามคนรักบรรยากาศที่นี่ด้วยเหตุผลที่แตกต่างกันไป
คนหนึ่งหลงใหลในรสชาติอาหารฝีมือพ่อครัวเอกที่ไม่เคยทำให้ผิดหวัง ทุกครั้งที่เธอมานั่งที่นี่ไม่ว่าจะกับใคร อาหารจานโปรดมักเป็นเมนูเดิมเสมอ ปลากะพงนึ่งมะนาว ปลากะพงพิโรธ ทะเลเต้น ข้าวผัดปลาเค็ม กุ้งอบวุ้นเส้น และ ผัดผักบุ้งไฟแดง  
คนหนึ่งชื่นชอบในบรรยากาศร้าน  คืนพระจันทร์เต็มดวงเธอมักมาที่นี่แม้จะต้องนั่งคนเดียว คราวหนึ่งในฤดูฝนดาวตกเธอถึงขนาดขอร้องให้ทางร้านเปิดบริการต่อไปจนข้ามคืนและขอให้ปิดไฟหมดทุกดวงเพื่อรอคอยทัศนาสะเก็ดดาวร่วงหล่นมาเป็นบรรณาการ  เธอมักจะสั่งแต่จานผัก จำพวกส้มตำปูม้า คะน้าฮ่องกงผัดน้ำมันหอย ผักบุ้งไฟแดง แต่เมนูโปรดร่วมกับเพื่อนที่ไม่แตกต่างคือ ปลากะพงพิโรธ
อีกคนไม่เรื่องมาก ใครชื่นชอบอะไรเธอร่วมวงด้วยหมด เมื่อมากินอะไรกันเธอไม่เคยออกปากเลือกสิ่งใด เพราะความสุขของเธอไม่ใช่อาหารแต่เป็นความผูกพันแห่งมิตรภาพที่เริ่มต้นถักทอมาตั้งแต่เด็กเล็กๆสามคนยังอยู่ในวัยอนุบาล
บนโต๊ะอาหารคืนนี้มีปลากะพงพิโรธรสจัดจ้านวางอยู่คู่ผักบุ้งไฟแดงและข้าวผัดปลาเค็มจานหนึ่ง เบียร์อีกขวด
พร้อมกับความสำราญ
....


ผู้หญิงสามคน ผู้ชายสามคน และเด็กวัยรุ่นสามคน มีชะตากรรมร่วมกันระหว่างสามเดือนสุดท้ายของปี ๒๕๕๔
เด็กมัธยมทั้งสามจำเป็นต้องใช้ชีวิตอพยพหลบภัยในบ้านเช่าห่างน้ำ นอนอยู่เฉยๆในห้องอุดอู้อย่างว่างเปล่าไม่มีอะไรทำถึงสองเดือนเต็ม โรงเรียนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการเพิ่มเวลาเรียนในแต่ละวันรวมทั้งวันหยุดสุดสัปดาห์เพื่อให้ได้ชั่วโมงสอนครบถ้วนตามหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการ
มันสมองของเด็กๆแทบระเบิด ทุกคนอารมณ์ขึ้งเครียดด้วยความกังวลกับความรู้ที่ครูยัดใส่ในสมองด้วยความตั้งใจดีแบบไม่มีจังหวะพัก  การบ้านสุมหัว  การสอบเก็บคะแนนถี่ยิบ
โลกของวัยรุ่นที่ปั่นป่วนด้วยฮอร์โมนหนุ่มสาวหกคะเมนตีลังกาอาละวาดฟาดหางใส่ทุกคน

อาหารอร่อยเลิศเหมือนเดิม แม้ครัวชั่วคราวจะไม่มีที่ทางพรั่งพร้อมด้วยอุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกในการทำครัวเหมือนเดิม
ร้านอาหารเพิ่งฟื้นตื่นจากหายนะ ตู้เย็นสี่หลังแม้จะหุ้มด้วยถุงกันน้ำอย่างดีแต่ก็ไม่รอด บางหลังถึงน้ำจะไม่ซึมเข้าแต่ความอับชื้นก็สร้างหยดน้ำให้เกิดอยู่ภายในกลายเป็นบ้านแสนสบายของเชื้อรามหาศาลกัดกินชิ้นส่วนอิเลคทรอนิกส์ทุกซอกมุม
โต๊ะเก้าอี้จมน้ำทรุดโทรมเพิ่งจะทาสีใหม่ ห้องครัวของร้านพังพินาศจนต้องหนีออกมาตั้งเตาอยู่ริมบึง กลายเป็นครัวแบบเปิดที่พ่อครัวโชว์ฝีมือผัดทอดให้ทุกคนชมแบบไม่มีปิดบังเคล็ดลับ ช่วยเรียกน้ำย่อยได้ดีนัก
ผู้หญิงทั้งสามคนล้วนมีชะตากรรมไม่แตกต่างจากสภาพของร้านอาหารโปรดปราน


พวกเธอนั่งปรับทุกข์เงียบๆ อาบแสงจันทร์  ปลากะพงพิโรธร้อนๆควันกรุ่นโอชารสแผ่รสชาติของชีวิตอยู่ตามปุ่มรับรส จัดจ้านแต่นุ่มนวล หอมกรุ่นเครื่องเทศอวลไปรอบโต๊ะ กลิ่นพริก กระเทียม กระชาย พริกไทยดำ น้ำปลาดี เป็นกลิ่นเผ็ดร้อนโอชาของอาหารไทยที่ไม่มีสิ่งใดในโลกมาเทียบได้
ชีวิตของพวกเธอเปี่ยมล้นรสชาติเหมือนอาหารจานนี้ ที่ปรุงจากปลากะพงที่ยังว่ายน้ำอยู่ในบ่อพัก นั่นคือเคล็ดลับหนึ่งเดียวของความอร่อยที่มาพร้อมกับราคาอันคุ้มค่าของมัน
ผู้หญิงสามคนนั่งสนทนากันเงียบๆ ลูกๆอยู่ที่บ้านเพราะยังทำรายงานไม่เสร็จ
สามีน่ะหรือ? พวกเขาล้วนเป็นส่วนเกินของชีวิต
นี่คือบทสนทนาบางส่วนของพวกเธอ

ผู้หญิงคนที่ ๑
บ้านฉันยังรกอยู่เลย ตั้งแต่น้ำลดเพิ่งจะเคลียร์ขยะและล้างบ้านเสร็จ ตอนนี้ข้อนิ้วกับข้อมือรวมทั้งข้อศอกเดี้ยงไปแล้วเพราะยกของหนักเกินไป หมอบอกว่าถ้าไม่รีบรักษาจะเป็นหนัก มันคืออาการเริ่มแรกของโรคข้อเสื่อม นี่เป็นมาตั้งเดือนกว่าแล้วยังไม่หายเจ็บเลย และเธอรู้ไหมสามีฉันเขาปล่อยให้ฉันกู้บ้านคนเดียว ตั้งแต่หาคนมาเก็บขยะ  ล้างบ้าน  ขนของ  ไปติดต่อขอไฟเข้าบ้านก็เป็นฉัน
เขาบอกว่ารับไม่ได้กับสภาพบ้านที่เห็น แล้วก็อ้างว่าเดินทางกลับบ้านลำบากเพราะต้องทำงานแถวสุวรรณภูมิโน่น ตอนน้ำลดเขาเข้าบ้านมาพร้อมกับเครื่องปั๊มน้ำตัวหนึ่งเท่านั้นเองแล้วก็หายหัวไปนอนอยู่แถวที่ทำงาน อีกวันเขาเอาเงินมาให้สามหมื่น บอกว่านี่เป็นเงินให้ยืมเอาไว้ใช้ช่วงนี้ พอฉันขายรถได้ให้เอาเงินมาใช้คืนเขาด้วย”  


ผู้หญิงคนที่ ๒  
“เธอยังโชคดีกว่าฉันตั้งเยอะ ผู้ชายที่บ้านของฉันเขาแค่ส่งเครื่องปั๊มน้ำมาแต่ตัวไม่ยอมมาด้วยเขาเลือกที่จะอยู่ในสนามกอล์ฟมากกว่า  มีแค่เครื่องปั๊มน้ำกับช่างสองคน ฉันก็ต้องไปขอต่อไฟฟ้าเอง ซื้ออุปกรณ์ล้างบ้าน หาทีมงานมาทำความสะอาดเอง เขาบอกฉันว่าว่าบ้านของใครคนนั้นก็ต้องซ่อมเอาเองไม่เกี่ยวกัน ไม่สนว่าบางเวลาเขาก็ยังอยู่ที่นี่กินนอนที่นี่และเราก็ยังเป็นครอบครัวเดียวกัน  
เขาเลือกที่จะหลบไปนอนคอนโดในเมืองของเขาสบายพุง ออกรอบตีกอล์ฟเกือบทุกวัน  ตอนหลังคงคิดได้ว่าตัวเองหยาบคายเกินไปก็เลยเอาเงินมาให้ก้อนหนึ่งแชร์ค่าซ่อมบ้าน แต่ฉันไม่นึกอยากได้แม้แต่บาทเดียวเลยนะเธอ ฉันอยากได้ผู้ชายในบ้านที่แข็งแรง ไปติดต่อราชการให้ฉัน หาช่างมาซ่อมประตูรั้ว เป็นธุระไปจัดหาหาซื้อข้าวของอุปกรณ์ซ่อมบ้านที่ขาดตลาดไปเสียทุกสิ่ง  อยากเห็นเขาช่วยขุดดินเคลียร์ต้นไม้ตายซากในสวน  อยากให้มาช่วยกันออกความเห็นว่าเราจะรับมือกับน้ำรอบต่อไปยังไงดี ชิท!”  


ผู้หญิงคนที่ ๓
เราก็เหนื่อยพอๆกันนั่นแหละ แต่ของเราเป็นคนละอย่าง เขารักบ้านคนละแบบกับที่เรารัก เรารักบ้านแบบที่ต้องอยู่ให้สบาย แต่เขารักแบบหวงแหน ดูแลเหมือนสมบัติล้ำค่า เราสองคนส่งลูกไปที่อื่นแล้วก็เลือกอยู่กับน้ำตลอดเวลาที่มันท่วม  กินนอนบนชั้นสองในความมืดเกือบสองเดือน แม้จะมีเครื่องปั่นไฟแต่ก็ใช้น้อยมากเพราะต้องประหยัดน้ำมันสุดฤทธิ์ สุดท้ายเราก็ไม่รอดหรอก ต้องออกจากบ้านมาเหมือนคนอื่นๆทุลักทุเล
หลังน้ำลดเราต้องกลับไปทำงานเกือบทุกวัน เหนื่อยแสนสาหัส แต่เหนื่อยกายไม่เท่าไหร่หรอกนะเธอ มันเหน่อยใจนี่สิ เราแค่อยากมีพื้นที่สำหรับได้นอนดีๆให้หลับสบาย ก็เสนอให้เขาหาช่างมาต่อเติมส่วนข้างบ้านเป็นเสาสูงทำห้องเล็กๆ ติดแอร์พอนอนได้พ่อแม่ลูกในระหว่างกำลังซ่อมบ้าน
แต่พวกเธอรู้ไหมเขาไม่เคยฟังเราเลย มันไม่ใช่ปัญหาเรื่องเงินแต่เป็นเรื่องการใช้อำนาจของหัวหน้าครอบครัวเพียงอย่างเดียว จนบัดนี้ระหว่างที่ช่างทำงานรื้อข้าวของฝุ่นตลบ เราก็ยังต้องนอนอัดกันเป็นปลากระป๋องอยู่บนชั้นสอง ข้าวของที่กองอยู่เป็นภูเขายังอยู่เหมือนเดิมกับตอนน้ำท่วม เราต้องปีนบันไดแทรกตัวเข้าไปในซอกเล็กๆ พอที่จะใช้นอนได้ เราอยากให้เขาอยู่ห่างๆ แบบสามีพวกเธอยังจะดีเสียกว่า...”

เดือนหงายลอยสูงอยู่เกือบกึ่งกลางฟ้า ปลากะพงพิโรธหายไปจากจานแล้ว อีกสามเดือนน้ำอาจจะมาใหม่ แต่ทะเลสาบข้างยังมีน้ำปริ่มเต็มให้กริ่งเกรง
...


นั่นคือเหตุการณ์เมื่อ ๔ ปีก่อน ฉันย้อนกลับมาอ่านเรื่องราวเหล่านี้โดยบังเอิญ และต้องบันทึกเพิ่มเติมว่า
ผู้หญิงคนที่หนึ่ง หลังจากซ่อมบ้านให้พออยู่อาศัยได้ เธอยังสามารถใช้ชีวิตร่วมกับสามีต่อไปได้ในฐานะเพื่อนร่วมโลกและเพื่อนร่วมบ้านแต่ยุติความสัมพันธ์ฉันท์ผัวเมียอย่างสิ้นเชิง เพื่อรักษาสถานภาพให้ครอบครัวดำรงอยู่ต่อไปได้แต่ไม่ผูกพันทางกายและใจ
ผู้หญิงคนที่สอง หันหลังจากผู้ชายของเธอด้วยความเต็มใจที่จะแยกทางกันทั้งคู่ เพราะฝ่ายชายไม่ต้องการรับรู้และรับผิดชอบความยุ่งยากหลังจากเกิดน้ำท่วม เขาออกจากบ้านจมน้ำไปพร้อมกับรถยนต์สองคันที่จดทะเบียนในชื่อของเขาเพื่อไปอยู่เพียงลำพังในคอนโดมิเนียมกลางเมืองของตัวเอง ส่วนฝ่ายหญิงต้องกอบกู้บ้านไปเพราะมันเป็นทรัพย์สินของเธอ
ผู้หญิงคนที่สาม เพราะอดทนได้กว่าทุกคนชีวิตเธอจึงยังเหมือนเดิม...ทุกครั้งที่หงุดหงิด เธอก็แค่ออกจากบ้านมากินปลากะพงพิโรธและข้าวผัดปลาเค็มที่ร้านริมทะเลสาบแห่งนั้น
และฉัน ยังรักชีวิตในแบบที่มันเป็นมาเสมอ ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์
....



วันพฤหัสบดีที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ชีวิตจริงของนักเขียนฟรีแลนซ์

                                ชีวิตจริงของนักเขียนฟรีแลนซ์
                                                          
                                                               ......

หนังสือเล่มล่าสุดของตัวเอง...ที่ลิขสิทธิ์ไม่ใช่ของตัวเอง เพราะเป็นงานที่รับทำให้หน่วยราชการ

ในที่สุดก็ค้นพบด้วยตัวเองว่า จะเป็นนักเขียนฟรีแลนซ์ที่ไม่ลำบากยากเข็ญนั้นต้องมีวินัยสูงมาก
ลำดับแรกต้องคิดถึงองค์ประกอบสำคัญที่จะต้องมีให้ได้ คือ

๑ งานเขียนประจำ เช่น คอลัมน์ต่างๆ ในนิตยสารซึ่งต้องมีปริมาณชิ้นมากพอสำหรับให้มีรายได้หลักในการใช้จ่ายเพื่อเป็นปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิต(แต่เรื่องนี้ไม่ง่ายเพราะพื้นที่ในนิตยสารต่างๆมีไม่มากพอที่จะให้นักเขียนฟรีแลนซ์ไปเบียดไหล่ชิงซีนกันในนั้น ทุกวันนี้ก็ไม่มีใครยอมเปิดพื้นที่ให้ใครอยู่แล้ว)

เขียนเรื่องราวของลุงปาละไว้ในหนังสือแล้ว ยังต้องการประสบการ์ณจริงและวัตถุดิบเพิ่มเอาไปเขียนคอลัมน์ เลยต้องบุกบ้านลุงอีกรอบไปตำกาแฟกัน


๒ งานโครงการพิเศษอื่นที่ทำให้มีรายได้เป็นก้อนใหญ่ๆ ในลักษณะทำงานปีนี้เพื่อให้เพียงพอสำหรับการใช้จ่ายในปีหน้า ไม่ใช่ทำไปใช้ไป เป็นต้นว่า มีหนังสือรวมเล่ม ทุกปี มีนิยาย หรือรวมเรื่องสั้นออกมาอย่างประจำ สม่ำเสมอ หรือมีงานรับจ้างเขียนแพงๆ(นี่ก็ไม่ง่ายเลยนะ เพราะถ้าไม่มีต้นทุนจากการทำงานที่สั่งสม สร้างการยอมรับจนเป็นที่เชื่อถือ มีคนนิยม หรือไม่มีจุดเริ่มต้นดีๆที่จะสานต่อได้คุณก็จะไม่มีทางไปเลย)


บ้านที่พ่อสร้าง : แม่ฮ่องสอน แผ่นดินแห่งความสุขและความงาม  กำลังคิดว่าจะขออนุญาตนำมาพิมพ์จำหน่าย


หากปราศจากสองสิ่งนี้ ก็จะต้องมีอีกอย่างที่สำคัญมากเช่นกัน คือ
๓ มรดกพกห่อ ที่จะอุ้มชูดูแลชีวิตไปให้ตลอดรอดฝั่ง
และอย่าได้เข้าใจว่าการเป็นฟรีแลนซ์ คืออิสรภาพสุดแสนเสรีที่จะโบยบินไปในโลกกว้างล่ะ ฟรีแลนซ์ที่ทำงานหนักไม่สามารถลอยชายไปไหนต่อไหนได้แบบไม่จำกัดหรอกนะ และในแต่ละวันก็ไม่ใช่ว่าจะทำอะไรตามใจฉันได้เสมอไป
อยากพิมพ์เผยแพร่ เพื่อคนจะได้รู้เรื่องราวแม่ฮ่องสอนในฐานะ King's Model Projects

ฟรีแลนซ์ที่ดี จะมีตารางการงานเฉพาะเจาะจงที่บีบคั้นตัวเองมากกว่าตอนนั่งทำงานประจำเสียอีก ไม่ได้มีเวลามากมายคอยมาไล่อ่านเฟซบุ๊คและเล่นสนุกไปวันๆเลยนะ โซเชียลมีเดียนั้นมีไว้ผ่อนคลาย พักสายตาจากการงานเท่านั้นเอง

ชีวิตจริงของฟรีแลนซ์ สิ่งสำคัญที่สุดคือการดูแลรักษาสุขภาพของตัวเองให้ดีที่สุด...ห้ามป่วย ห้ามเสียสติ เพราะการเจ็บป่วยจะทำให้เงินทองอันน้อยนิดที่ค่อยๆเก็บสะสมมาได้เหมือนตุ่มรองรับน้ำทีละหยดเล็กๆ ซึ่งใช้เวลาและความอดทนอย่างยิ่งกว่าน้ำหยดน้อยจะเต็มตุ่ม พอคุณป่วยจะกลายเป็นว่าต้องเทน้ำในตุ่มที่อุตส่าห์เก็บสะสมมาทิ้งไปหมด...ให้กับโรงพยาบาล

ขอบคุณศิลปินทุกท่านที่ช่วยให้งานเปิดตัวหนังสือ "บ้านที่พ่อสร้าง" ผ่านพ้นไปได้เรียบร้อย

ดังนั้น... ตื่นเช้าขึ้นมาทุกวันต้องนึกถึงการออกกำลังกายเป็นอย่างแรก   
หลังจากนั้นทุกคนก็จะมีภารกิจส่วนตัวเหมือนกันหมด ในการดูแลบ้าน สวน อาหารการกิน และดูแลคนในครอบครัว
สุดท้าย...กว่าคุณจะได้อาบน้ำแต่งตัวมานั่งทำงาน บางวันอาจสายมาก...และบางวันไม่มีโอกาสนั้นเลย เพราะติดนัดหมายนอกบ้าน แต่ส่วนใหญ่ถ้าคุณอยู่กับครอบครัว ภารกิจที่ดึงเวลาทำงานของคุณไปมากมายก็คือภารกิจที่เกี่ยวพันกับคนในครอบครัวนั่นเอง
 
พยายามบอกตัวเองว่านี่เป็นการเดินออกกำลังกายนะ อิอิ

นั่นยังไม่เท่ากับปัญหาที่ว่า เมื่อคุณพร้อมมานั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์แล้วคุณยังเขียนอะไรไม่ออกเลยสักตัว ในขณะที่เสียงโทรศัพท์ทวงต้นฉบับดังขึ้นถี่ๆ ไหนจะกังวลกับงานโปรเจ็กต์ที่มีตารางกำกับว่าจะต้องทำให้เสร็จภายในกำหนดเวลาคอยเร่งอยู่ ไหนจะงานเขียนในฝันที่อยากทำแต่ไม่ได้ลงมือทำเสียทีเพราะมีเรื่องด่วนอื่นๆมาคอยขัดจังหวะอยู่เรื่อย
และเมื่อคุณเลือกพักสายตาด้วยเรื่องราวของเพื่อนๆในเฟซบุ๊ค...คุณก็จะลืมตัวลืมเวลาไปเลยว่ากำลังทำอะไรคั่งค้างอยู่ งานวันนั้นจึงอาจจะไม่เสร็จ และมันถูกเลื่อนให้ไปกินเวลาของงานในวันรุ่งขึ้นที่วางแผนไว้แล้ว


ไปเที่ยวถ้ำกับศิลปิน เลยได้ภาพเด็ดๆ มุมนี้

แน่นอน...มันทำให้คุณเบื่อและท้อถอยได้ง่าย...สุดท้ายคุณหาทางออกด้วยการผ่อนคลายในแบบที่คุณชอบ คือ การดื่มกินและท่องเที่ยว
นัดหมายกับเพื่อนถูกคอบ่อยๆ บางเวลาก็ไปนั่งชิลตามร้านอาหารที่ชอบ แสวงหาความตื่นเต้นในชีวิต ทำอะไรแปลกๆ เพื่อสร้างแหล่งวัตถุดิบใหม่(ที่มีเยอะแต่ไม่ค่อยได้เขียน) และส่วนใหญ่คุณจะสิ้นเปลืองมากกับการหาเรื่องไปเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจในต่างจังหวัดและต่างประเทศ
เมื่อคิดอะไรไม่ออกและทำงานไม่ทัน คุณจะกิน กิน กิน ...กินจนน้ำหนักขึ้น ขึ้น ขึ้น และคุณก็จะท้อถอยในการออกกำลังกายเพราะเดิมการออกกำลังกายของคุณเป็นกิจกรรมเพื่อทำให้สุขภาพดี บัดนี้กลายเป็นภารกิจที่จะต้องพิชิตน้ำหนักลงให้ได้

ปลาพยูนเสื้อเหลืองพุงหลามน่าเกลียดขึ้นทุกวัน...โอ๊ยยย ทนดูตัวเองไม่ไหว


โอ้...พระเจ้า โลกนี้ตอบแทนทุกคนอย่างเท่าเทียมกันเสมอ
บันทึกเรื่องราวนี้ไว้ในวันที่ต้องเริ่มต้นราวีกับไขมันอีกรอบ

...

สุมิตรา จันทร์เงา
๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙

#ไม่ยอมแพ้แม้จะรู้สึกแย่มาก
#ไขมันที่รักโปรดปล่อยฉันไป




วันจันทร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2559

ประหนึ่งว่าจะเป็นเรื่องสั้น



                                       ปากกาคารูตูด

ฟรุ้งฟริ้งงงงงง ฟรุ้งฟริ้งงงงงง  (สัญญาณการส่งข้อความทางสมาร์ทโฟน)

นายอยู่ไม่สุข :                เลือกตั้งเมื่อวาน
จบลงด้วยความประทับใจไหมครับ
หรืองวยงง ? อึดอัดขัดใจ ?
นายทุกข์ไม่เป็น :            เอ๊ะ ถามแปลกๆ
มีอะไรเหรอคุณอยู่ไม่สุข
นายอยู่ไม่สุข :                ก็ผลมันผิดคาด ไม่รู้เบื้องลึก เบื้องหลัง
กลับซ้ำรอยเมื่อ ๔ ปีก่อน
ก็คิดว่า อาจารย์....จะเป็นน่ะครับ
นายทุกข์ไม่เป็น :            ทำไมต้อง "งวยงง ? อึดอัดขัดใจ ?" ละครับ ในเมื่อไม่ได้คิดอะไรอยู่แล้ว
ที่เชิญเขามาก็เพราะไม่รู้ว่ามีอาจารย์อีกคนเขาสนใจจะมาทำงานอยู่
ยิ่งมากันเป็นทีมแบบนี้ก็ยิ่งดีใหญ่
นายอยู่ไม่สุข :                ไม่ "งวยงง ? อึดอัดขัดใจ ?" ก็ดีครับ แต่งวดก่อน มันพลิกล็อก คาดไม่ถึง
ผมเลยอึดอัดไปเป็นปี
นายทุกข์ไม่เป็น :             เอ...เรื่องแบบนี้คุณอยู่ไม่สุข คงไม่รู้จักผมนะครับ ถึงได้ตั้งคำถามออกมาแบบนี้ ตำแหน่งในสมาคมนี้ไม่ใช่เรื่องต้องมาแย่งชิงกัน การทำงานเพื่อส่วนรวมอย่างดีก็เสมอตัว แต่ส่วนใหญ่ถูกด่ามากกว่า อยู่มา ๔ ปีนี่ผมเห็นความเป็นมนุษย์ใต้รอยยิ้มอย่างถึงแก่น พอใจมากแล้ว...ถ้าจะถามว่าอึดอัดด้วยความรู้สึกสะใจก็เสียใจด้วยนะ ตอนนี้ผมตัวลอย เบาสบายมากกว่า จะได้เอาเวลามาทำงานเพื่อตัวเองให้มากขึ้น  ส่วนการเลือกตั้งเมื่อ ๔ ปีก่อน ผมไม่ทราบ ไม่รู้เห็น เพราะไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ ที่ผมได้เข้าไปทำงานเพราะถูก "รับเชิญ"
นายอยู่ไม่สุข :                ขอโทษเถอะพี่ ผมถามไม่เคลียร์ ลืมไป
เป้าหมายที่ถาม คือ หมายถึงอาจารย์ครับ ไม่ใช่พี่
นายทุกข์ไม่เป็น :             (อ้าว...เมิงหมายถึงคนอื่นแล้วมาถามตรูทำไมฟระ...นายทุกข์ไม่เป็นชักหงุดหงิด) อย่าลืมว่าผมใส่หมวกใบใหญ่กว่านี้มาจนเอียนแล้วนะ และไม่ได้สนุกกับลาภ ยศ สรรเสริญเลยแม้แต่น้อย คุณอยู่ไม่สุขลองเข้าไปทบทวนดูประวัติผมย้อนหลังหน่อยก็ดี ผมน่ะเป็นกรรมการบริหารองค์กรมาสิบกว่าปีพอเบื่อแล้วก็ลาออกมาเองเลยไม่ต้องให้คนไล่หรือโดนปลด ผมผ่านพบการเป็นอะไรสารพัด  อิ่มเต็ม และไม่ได้กระหายอยากสิ่งใดอีก  เรื่องงานสมาคมนี้ไม่มีอะไรติดค้างแม้แต่น้อยนะ ยินดีอย่างยิ่งกับทีมที่ได้รับเลือกตั้งเข้าไป  และถ้าผมได้รับเชิญให้ไปช่วยงานที่ไหนอีก ถ้าหากสามารถทำได้ก็ยังยินดีช่วยไม่มีปัญหานะ เพราะผมไม่ได้เป็นศัตรูกับใครเลยในโลกนี้ ส่วนใครจะเป็นศัตรูกับผมหรือไม่นั้นผมไม่ได้สนใจ สำหรับอาจารย์คนที่คุณพาดพิงถึงน่ะแกไม่ได้รู้เรื่องราวอะไรในความขัดแย้งของพวกคุณที่ผานมาเลย
นายอยู่ไม่สุข :               คือผมเป็นห่วงอาจารย์น่ะครับ เกรงว่าจะจากไปด้วยความไม่ประทับใจ ผมเป็นคนหนึ่งที่เชียร์ให้แกมาเป็นนายกนะ เพราะตอนนั้นมองไม่เห็นใคร และปกติสมาคมนี้หานายกยากอยู่ครับพี่
นายทุกข์ไม่เป็น :            (เมิงเป็นห่วงเขาก็ไปบอกเขาตรงๆสิฟระ...นายทุกข์ไม่เป็นชักของขึ้น) คุณพูดแปลกๆนะ เราไม่ได้เตรียมการอะไรจะมาแย่งชิงตำแหน่งเลย ยิ่งอาจารย์คนที่คุณเป็นห่วงน่ะแกยิ่งไม่ได้คิดอะไร ไม่เช่นนั้นแกก็คงขนลูกศิษย์มาเทเสียงให้เป็นร้อยแล้ว ถ้าจะเปิดศึกกันจริงๆ คงไม่ปล่อยให้เป็นแบบนี้หรอก แกถูกผมชวนมาด้วยความไม่รู้ว่าคนอื่นสนใจตำแหน่งอยู่แต่แรก เพราะผมเห็นเงียบๆอยู่ไม่มีใครเสนอตัวเลย ถ้าผมรู้นะว่ามีคนอยากมาเป็นอยู่แล้วจะส่งเทียบเชิญไปใส่วอเลย แต่นี่มากันแบบขอมดำดิน ก็ช่วยไม่ได้ที่มันต้องจบแบบนี้  ถ้าจะถามความรู้สึกก็คือ ผมเสียใจนะที่เป็นคนเชิญคนที่คุณเป็นห่วงมาซวยไปกับผมด้วย ส่วนเรื่องอึดอัดขัดใจและงวยงงน่ะ ไม่มี  ถ้าคุณอยู่ไม่สุขอยากทำความเข้าใจในเรื่องนี้ก็ให้เข้าใจคำอธิบายนี้ด้วยแล้วกัน
นายอยู่ไม่สุข :                ครับพี่ เข้าใจแล้วครับ
นายทุกข์ไม่เป็น :            อ้าว!...ทำไมคราวนี้เข้าใจง่ายนักล่ะ ไม่อึดอัดขัดใจ งวยงงเหรอ?
นายอยู่ไม่สุข :                ฟิ้วว(เสียงหายตัว)
นายทุกข์ไม่เป็น :             เดี๋ยวก่อนสิคุณอยู่ไม่สุข...ปากกาที่ตูดคุณน่ะเอาออกมาล้างมั่งก็ดีนะ เดี๋ยวติดเชื้อในกระแสเลือดเข้า ถึงตายเชียวนะคุณ

.....

วันศุกร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2559

โอซาก้าใต้ฝ่าเท้า ๔


ฝันใหญ่เอาไว้ก่อน

“จุ๋มคะ...พี่ลองทำแผนเดินทางตามความสนใจของพี่ เพื่อมาแมทช์กับพวกเราดังนี้นะ”
            ...

ชอบวิธีสวมถุงเท้าสีขาวแบบนี้ในการเดินขบวนงานเทศกาลของชาวญี่ปุ่นมาก

ระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงเดือนกรกฎาคมที่เราจะเดินทางไปโอซาก้ากัน ข้าพเจ้าทำการบ้านเยอะพอสมควรเพื่อจะได้ไปย่ำเท้าในบ้านเมืองนี้ให้หนำใจ แม้ว่าก่อนหน้านี้จะเคยมาเที่ยวสองสามครั้งแล้ว แต่ก็เป็นการจัดการโดยคนอื่น แบบมีราชรถมาเกยแทบทุกที่ มิได้มีความลำบากอันใดเลย แค่ทำตัวให้ตรงเวลาตามการนัดหมายเท่านั้น ทุกอย่างก็จะเรียบร้อยแสนสบาย
แต่คราวนี้เราต้องแบกเป้ไปเองคงสนุกแน่เลย...ป้าปลาพยูนจึงฝันหวาน มโนไปเรื่อยเปื่อยสิคะว่าจะได้ไปที่โน่น นั่น นี่ เยอะมากกก
นอนโอซาก้าแค่ 6 คืนเองนะ(คืนแรกแทบไม่มีความหมายเพราะไปถึงก็นอนเลย เหลือแค่ 5 ที่ต้องวางแผน) แต่นี่คือรายการแห่งความปรารถนาในใบเซียมซีเสี่ยงความสุขของป้า


วันที่ 24 ก.ค. เที่ยวชมเมืองโอซาก้า ปราสาทโอซาก้า สวนสาธารณะ วัด ศาลเจ้า ย่านต่างๆ ที่สำคัญในเมืองโอซาก้า ทำความคุ้นเคยกับบรรยากาศงานเทศกาลเท็นจินช่วงบ่ายถึงค่ำ(เดินเท้าบวกรถไฟใต้ดิน)
วันที่ 25 ก.ค. เกาะติดงานเทศกาลเท็นจินตลอดวันตั้งแต่เช้าจนดึก(เดินเท้าบวกรถไฟใต้ดิน)
วันที่ 26 ก.ค. ไปเกียวโต เป้าหมายวัดน้ำใส และศาลเจ้า Fushimi inari  เดินเล่นย่าน Gion
วันที่ 27 ก.ค. ไปเกียวโตซ้ำตั้งแต่เช้ายันค่ำ นั่งรถไฟสายโรแมนติก เป้าหมายเที่ยวเจาะลึก Arashiyama
วันที่ 28 ก.ค. เที่ยวปราสาท Himeji(ไม่แน่ใจว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหน)  เก็บตกรายละเอียดในโอซาก้าที่สนใจ โดยเฉพาะพวกสวนสวยๆ ย่านกลางเมือง
วันที่ 29 ก.ค. เดินเที่ยวเล่นกับกลุ่มเพื่อนๆ ช็อปปิ้งในโอซาก้าก่อนกลับ

หมายเหตุ – สถานที่อยากเดินเล่นเที่ยวชมในโอซาก้าและพื้นที่ใกล้เคียงที่เป็นเป้าหมาย ได้แก่
A กลุ่มปราสาท
ปราสาทโอซาก้า
ปราสาท Himeji

B กลุ่มศาลเจ้าและวัด
ศาลเจ้าเท็นมันกุ (Tenmangu) คงได้ชมในวันที่มีเทศกาลอยู่แล้ว
ศาล Tsuyuten-jinja
ศาล Ishikiri-Tsurugiya
ศาล Ikutama-jinja ศาล Tamatsukuriinari-jinja
ศาล Sumiyoshi-taisha
วัด Nanshu-ji
วัด Nozaki Kannon
 (วัด Jigen-ji ) วัด Shitenno-ji 
ศาลและวัดเหล่านี้เป็นการเที่ยวชมไปเรื่อยตามเส้นทางรถไฟใต้ดิน อยู่ใกล้แถวไหนก็ขึ้นดูแถวนั้น ไม่ซีเรียสเรื่องการเจาะลึก เป็นแบบเที่ยวชมเมืองผ่านๆ อันไหนเดินได้ก็เดิน อันไหนไกลไม่สะดวกก็ตัดทิ้ง

C กลุ่มสวนสาธารณะ
สวนที่อยู่รายรอบปราสาทโอซาก้า คือ สวนสาธารณะ Osakajo-koen และสวน Nishinomaru-teien
สวนสาธารณะ Nakanoshima-koen
สวน Keitaku-en
สวนดอกไอริส Shirokita Shobu-en

D ย่านสำคัญเมืองชั้นในโอซาก้า
Umeda Sky Building
เนิน Tennoji Nanazaka
ถนน Oimatsu-dori
ย่าน Minami Semba 
ย่าน Shinsekai
ย่าน Kitashinji
ย่าน Minami Horie & Kita Horie
ตรอก Hozenji Yokocho Dotombori
ถนน Midosuji
ท่าเรือข้ามฝาก Temposan
ย่านต่างๆเหล่านี้คือการเดินเล่นไปเรื่อยตามแต่สองขาและรถไฟจะพาไปได้ อยากเห็นบรรยากาศเนินทั้งเจ็ดและซอกเล็กซอยน้อยของโอซาก้า ส่วนเรือข้ามฟากนี้ตามข้อมูลว่านั่งฟรี และที่อยากขึ้นชมวิวคือ Umeda Sky Building

E เกียวโต
-เส้นทางรถไฟสายโรแมนติก อะราชิยามา เดินเล่นทั้งวัน เจาะลึกสถานที่รายรอบใฃนเขตอะราชิยามา
เดินเล่นย่านกิออน ชมบรรยากาศเกอิชาย้อนยุค
-ชมวัดน้ำใสและศาลเจ้า Fushimi inari  (วัดทองไปหลายหนแล้ว)
...

คุณขา...เห็นลิสต์ความปราถรนาของป้าแล้วอยากหัวเราะให้ฟันโยกเลยใช่ไหมคะ  มันจะเป็นไปได้ไงเนี่ยยย?????
แต่...ฝันใหญ่ไว้ก่อนไม่เสียหลายนี่นา เวลาซื้อล็อตเตอรี่เรายังหวังรางวัลที่ 1 ก่อนอื่นเลย แต่ตอนตรวจรางวัล แค่ถูกเลขท้ายสองตัวก็ฟินแล้ว!
ทีนี้ปัญหาก็คือ เราไปกันคณะใหญ่พอสมควรตั้ง  12 คนเชียวนะ และในจำนวนนี้ไม่ได้รู้จักกันทั้งหมด แต่ละคนต่างมีเซียมซีความฝันคนละใบกัน ชอบไม่เหมือนกัน และครึ่งหนึ่งในนั้นต้องการคนนำทาง คือยอมทำตัวเป็นลูกเป็ดเดินตามก้นแม่ คือน้องจุ๋มกับนิด
เอาล่ะซี...พอป้าปลาพยูนโยนความฝันของหล่อนลงไป คนอื่นก็โยนลงมามั่ง



“มีเวลาไป จังหวัดนาราไหมตะเอง?... มีมรดกโลกตั้ง 3 แห่งเชียวนะ
1.วัดโฮริวจิ สถาปัตยกรรมทางพุทธศาสนาสร้างด้วยไม้เก่าแก่ที่สุดในโลกขึ้นทะเบียนมรดกโลกพร้อมปราสาทอิเมจิ
2.วัดโทไดจิ สิ่งปลูกสร้างด้วยไม้ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีหลวงพ่อโต (ไดบุทสึ) ทำด้วยทองสัมฤทธิ์ มีกวางนับพันตัวใกล้ๆวัด
3.ศาลเจ้าคาสึงะไทชะ สีแดง มีโคมไฟหมื่นดวง (มังโทโร)
นี่ยังไม่รวมกับที่เราอยากไปมากๆ คือ
4.ปราสาททอง จ.เกียวโต
5.ปราสาทฮิเมจิ จ.เฮียวโงะ
จากมรดกโลกในญี่ปุ่นทั้งหมด 14 แห่ง”
...


ปวดหัวๆๆๆๆ น้องจุ๋มคงจะก่นด่าพวกป้าๆอยู่ในใจ แต่เธอก็เย็นมากกกก อธิบายทุกอย่างให้กับทุกคำถาม เพื่อที่เราจะพบว่า ใบเซียมซีน่ะนะ ย่อมเป็นใบเซียมซีเสมอ คือ ให้ความหวังกับทุกคนเท่ากันหมดแหละแล้วแต่ว่าใครอยากตีความอะไร เข้าข้างตัวเองแค่ไหน

ความจริงคือ 6 วันในโอซาก้ามันสั้นมาก และยิ่งคิดจะเดินเที่ยวด้วยสองขาบวกกับการขึ้นลงรถไฟต่อรถบัสนั้นเกินฝันที่หัวใจสาวในร่างชราจะทำได้หมดจริงๆ

....................................